วันแต่ละวันหมุนผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ช้าและไร้ชีวิต
ร่างเล็กบิดกุญแจประตูโลหะเย็นเยียบของคอนโดมิเนียมที่อาศัยอยู่ก่อนจะออกแรงผลักเข้าไป
จากนั้นก็สลัดรองเท้าผ้าใบที่ใส่มาทั้งวันอย่างไม่ใส่ใจนัก
อันที่จริงผมไม่อยากจะใส่ใจอะไรทั้งนั้น
การที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องที่เคยมีเราอยู่ด้วยกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่วูบโหวงเกินไปจนน่ากลัว
“ไงคนเก่ง”
แบมแบมเบิกตากว้างขณะที่หันไปมองทางต้นเสียงอย่างไม่เชื่อสายตา
ร่างของพี่มาร์คกำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดของพวกเรา
รอยยิ้มกว้างที่ส่งมาเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้ผมเดินจนแทบจะเป็นวิ่งเพื่อเข้าไปหาร่างนั้น
ผมโถมทั้งร่างเข้าใส่อ้อมกอดของคนแก่กว่าที่อ้าแขนรอ สัมผัสเบาๆบนเส้นผมยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา
ผมคิดถึงพี่มาร์ค
คิดถึงมากจนไม่รู้จะทำยังไง
“ไม่เอาไม่ร้องนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆพร้อมกับสัมผัสอบอุ่น
ผมไม่ตอบอะไรกลับไปเพราะขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นทุกที
เลยได้แต่หลับตาเอาหูแนบกับแผ่นอกกว้างที่ซูบผอมลงไปบ้าง
ตั้งใจฟังเสียงก้อนเนื้อที่มีหน้าที่สูบฉีดเลือดเต้นอยู่ตรงอกซ้าย
สัญญาณที่ยืนยันกับผมว่าพี่มาร์คอยู่ตรงนี่กับผมจริงๆ ไม่ใช่ภาพจิตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมา
“เป็นเด็กขี้แยอีกแล้ว”
พี่มาร์คเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะขณะใช้ปลายนิ้วเขี่ยข้างแก้มผมเบาๆ
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตาทั้งหมดไหลออกมาตอนไหน
“อย่ามาล้อนะ”
แบมแบมซุกหน้าลงกับอกของคนแก่กว่าที่นอนราบลงไปบนโซฟา มือเล็กกำชายเสื้อมาร์คแน่นจนมันยับย่นไปตามแรง
ร่างเล็กกว่าขดอยู่บนตัวของคนรักเหมือนเป็นลูกแมวตัวน้อยที่พร้อมจะกางกรงเล็บข่วนเอาได้ง่ายๆถ้าอีกคนจะลุกหนีไปไหน
พี่มาร์คหัวเราะขณะขยับอ้อมแขนให้ผมนอนได้ถนัดขึ้น
มือหนาลูบไปตามตัวของผมอย่างกะเกณฑ์
“ผอมลงไปหรือเปล่า”
“มาร์คเองก็ผอม…”
ผมกลืนก้อนสะอื้นท้ายเสียงอย่างยากลำบากตอนที่เอ่ยมันออกไป
เราต่างรู้ดีว่าพี่มาร์คเคยตัวใหญ่กว่านี้
เคยมีกล้ามมากกว่านี้
แต่ช่างมันเถอะ
เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นคนที่ผมรักคนเดิมอยู่ดี
“ไม่เหมือนกันสิ แบมจะอายุ 24 แล้ว ตัวแค่นี้ไม่ได้นะ”
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาบนผนังอย่างตกใจ
ลืมไปเสียสนิทเลยว่าพรุ่งนี้ ไม่สิ อีกเพียงแค่สี่ชั่วโมงก็จะเป็นวันเกิดของผมแล้ว
“มาร์คมาตั้งแต่กี่โมง”
เสียงหวานละล่ำละลักถาม นึกโกรธตัวเองที่ไม่ยอมกลับห้องเพราะกลัวว่าความเงียบเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวจะกัดกร่อนใจจนทนไม่ไหว
มัวแต่กังวลเรื่องอาการป่วยของอีกคนที่ออกจากโรงพยาบาลเมื่อสี่วันก่อนและเดินทางไปหาพ่อแม่จนไม่ได้ฉุกคิดเลยว่ามาร์คไม่เคยผิดสัญญาที่จะต้องมานั่งนับถอยหลังเข้าสู่วันเกิดของเราทั้งคู่ด้วยกัน
ในวันที่ 2 พฤษภาคม
ในวันที่ 4 กันยายน
และวันนี้เป็นวันที่ 1 พฤษภาคม
“โกรธหรือเปล่าที่มาร์คไม่มีของขวัญมาให้แถมมาอวยพรก่อนตั้งวันหนึ่ง ก็แค่กลัวจะไม่มีเวลาแล้ว…”
พี่มาร์คไม่ตอบคำถามของผม มีเพียงเสียงพูดเรียบเรื่อยที่เอ่ยออกมา
เอ่ยออกมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกำลังบอกเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ
คำพูดที่ราวกับว่าอีกฝ่ายพร้อมจะจากไปง่ายๆตอนไหนก็ได้
I'm missing you
I'm missing you like crazy
ผมกดจูบบนริมฝีปากนั้นเบาๆไม่มีการล้วงล้ำ
รสจูบที่ฝาดเฝื่อนไปด้วยหยดน้ำตาทว่าหวานลึกถึงข้างใน ความโหยหาที่ทรมานนั้นน่ากลัวแค่ไหนนั้นผมไม่อยากรับรู้
ไม่อยากฟัง
ก็แค่ไม่อยากได้ยิน
ตอนนี่พี่มาร์คยังอยู่กับผมไม่ใช่หรือไง
“เอาแต่ใจ”
มือหนาเอื้อมมาบิดจมูกผมเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว
พี่มาร์คขยับตัวเบาๆและนั่นทำให้ผมลุกขึ้นมานั่ง
ร่างสูงลุกจากโซฟาก่อนจะเดินด้วยท่าทีที่ไม่มั่นคงนักไปที่ระเบียงก่อนจะดึงผ้าม่านและเปิดประตูระเบียงออก
พี่มาร์คก้าวออกไปยืนข้างนอก เท้าแขนกับระเบียงก่อนจะเอ่ยเรียกผม
“ออกมานับดาวกันไหมแบมแบม”
--
มีคนเคยพูดเอาไว้ว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ
ตี๊ด-----------
โชคชะตาเหมือนเกลียดชังพวกเรา เพราะเสียงนิ่งลากยาวบ่งบอกการหยุดเต้นของหัวใจ คือเสียงสุดท้ายของวันเกิดที่ผมได้ยิน
"มาร์ค!!"
ปัง!
แพทย์และพยาบาลสามสี่คนกรูกันเข้ามา จับตัวพี่มาร์คขึ้นเตียงและเข็นออกไปที่ห้องฉุกเฉิน
ขาสองข้างของผมออกวิ่งขนาบข้างเตียงเข็นโดยอัตโนมัติ มือเย็นและสั่นพยายามยื่นออกไปเขย่าตัวคนที่นอนแน่นิ่งไร้การตอบรับ
"มาร์ค! อย่าเป็นแบบนี้สิ...ฮึก.. ลืมตาเดี๋ยวนี้นะมาร์ค! แบมขอร้อง มาร์ค... อย่าไปนะมาร์ค..."
จากที่ออกคำสั่งตอนต้นประโยคพร้อมเตียงซึ่งเข็นเข้าประตูห้องฉุกเฉิน กลายเป็นเสียงเบาและลมหายใจอ่อนแรง ร่างกายพลันล้าไปหมด เข่าทรุดลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติกข้างห้องที่อีกฝ่ายถูกนำเข้าไป
ทำไมนะทำไม...
แค่ให้ผมดูแลพี่มาร์คในโรงพยาบาลต่อไปเรื่อยๆ
แค่ให้ผมได้มองหน้าเขาอีกหน่อย
แค่ให้เราได้จับมือกันต่ออีกนิด
แค่นี้ก็ไม่ได้หรอมาร์ค... นี่มันเป็นวันเกิดของแบมนะ
They say time flies
I'd say they are wrong
Because the clock doesn't tick
When I'm so stuck with you
การจากกันดูจะกระทันหันเกินไปสำหรับผม
ถึงครอบครัวของพี่มาร์คดูจะเข้าใจเหตุการณ์และพยายามยอมรับให้ได้แต่ผมก็ยังคิดว่ามันโหดร้ายอยู่ดี
เพราะเขาไม่ได้สิ้นลมหายใจ
พี่มาร์คยังคงนอนอยู่ในห้องนั้น
แต่เขาจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก
แค่ผมจะไม่มีวันได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอันคุ้นเคยคู่นั้นอีกแล้ว
แค่รอยยิ้มบนปากซีดนั่นจะไม่มีอีกต่อไป
แค่ผมจะไม่ได้คุย แหย่ หรือแม้แต่ทะเลาะกับเขา
พอใช้คำว่า 'แค่' แล้วมันควรจะรู้สึกน้อยนิดไม่ใช่หรือไง... แล้วทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้กันนะ..
และ ‘แค่’ สุดท้าย..
แค่ต้องรักษาสัญญา
‘ถ้าถึงเวลา ก็ไม่ต้องพยายามกันแล้วนะ..’
สัญญาที่ไม่เคยอยากจะให้คำมั่นสัญญา
*
Can I lay by your side
Next to you
I’ll take care of you
I don’t want to be here
If I can’t be with you…
พี่มาร์คจับมือผมวาดไปตามร่องรอยของแสงดวงเล็กที่พร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า เสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหูคอยบอกถึงจำนวนของดวงดาวที่เรากำลังนับอยู่
ถึงแม้ดวงดาวท้องฟ้าในเมืองที่ไม่เคยหลับไหลจะเปล่งแสงอย่างอ่อนแรงอย่างมิอาจสู้กับแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นแต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้
ผมไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา
ความกลัวเกาะกุมหัวใจไปหมด ไม่มีสมาธิที่จะนับเลขจำนวนนั้นตามไปด้วย
“ถึงไหนแล้วนะ”
ผมตื่นออกจากภวังค์ของตัวเองตอนนั้น
ซึ่งดูเหมือนพี่มาร์คเองจะรู้เหมือนกันว่าผมเองไม่มีสมาธินัก
“มาร์คว่าวันนี้จะมีดาวตกไหม”
ผมเอ่ยแทรก และนั่นทำให้พี่มาร์คลดมือของพวกเราลง เปลี่ยนเป็นกุมไว้หลวมๆแทน
“ไม่รู้สิ แต่ถ้าได้เห็นอีกซักครั้งก็คงจะดีเหมือนกัน”
ปากอิ่มเม้มแน่นทันทีที่คนตรงหน้าเอ่ยจบ
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า
ฝนดาวตกที่เราไม่เคยจำชื่อได้มักจะเกิดในช่วงเดือนเกิดของผม
ทุกครั้งมันจะมาหลังจากที่ผ่านไปสองถึงสามวัน บางครั้งก็กินเวลาหลังจากนั้นเป็นสัปดาห์
แต่แค่ปีนี้ แค่ปีนี้ได้ไหมที่ผมอยากจะให้มันมาในวันนี้
วันเกิดของผม
วันเกิดที่สำคัญกว่าทุกครั้งในปีไหนๆ
“แบมอยากขอพร”
พี่มาร์คลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา
เขาไม่ถามต่อว่าคำอธิฐานที่ผมอยากจะขอคืออะไร
เพราะเราต่างรู้ดีว่าคำขอที่ว่าอยากให้เรายังอยู่ด้วยกันแบบนี้ในทุกวันที่ตื่นขึ้นมาช่างเป็นคำขอที่เป็นไปได้ยากเหลือเกิน
เรารอกันเงียบๆ
และสุดท้ายก็ไม่มีดาวดวงไหนแม้แต่ดวงเดียวที่ตกลงมาในคำคืนนี้
พระเจ้าช่างใจร้ายกับเราเหลือเกิน
คนตัวสูงกว่าจับมือผมวาดขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง
คราวนี้ผมช่วยนับมันอย่างตั้งใจ
พี่มาร์คเริ่มนับต่อที่ปีเกิดของตัวเองก่อนหยุดนับไว้ตรงนั้นที่ปีเกิดของผม ร่างสูงหลับตาแน่นก่อนจะค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ริมฝีบางเผยรอยยิ้มซีดเซียวทว่าแววตานั้นกลับอบอุ่นจนผมอยากจะร้องไห้ออกมา
“มาร์คมองไม่ค่อยเห็นแล้ว ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่เป็นไรมาร์ค ไม่เป็นไร”
ผมกระซิบกลับไปอย่างแผ่วเบาขณะบีบมือที่กุมกันอยู่เบาๆ
อาการปวดหัวและสายตาที่มองไม่ชัดของคนไข้เป็นผลมาจากเนื้องอกในสมอง ผลจากแลปพบว่าคนไข้เป็นเนื้องอกชนิดที่เรียกว่ามะเร็ง เราสามารถเลือกการรักษาด้วยการผ่าตัดได้แต่เพราะมะเร็งได้ลุกลามไปถึงขั้นที่สามแล้ว คนไข้และญาติพร้อมที่จะเสี่ยงไหมครับ
เราไม่สามารถเอาก้อนมะเร็งออกได้ทั้งหมดเพราะจุดนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก เราเกรงว่าการผ่าตัดจะยิ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตมากกว่า
ร่างกายของคนไข้ไม่ตอบสนองต่อการทำคีโม
ตอนนี้การรักษาทำได้เพียงเป็นการประคองอาการไม่ให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานมาก หมอเสียใจด้วยนะครับ
“แบม แบมแบม”
ผมสะดุ้งกับเสียงเรียกของคนตรงหน้า
ก่อนจะใช้ข้อมือปาดน้ำตาของตัวเองที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาตอนไหนลวกๆ
“ร้องไห้อีกแล้ว วันนี้ขี้แยจังเลย”
พี่มาร์ครวบผมไปกอดไว้ทั้งตัวจนจมลงไปในแผ่นอกกว้างจากนั้นก็โยกตัวเบาๆ
ลมอ่อนๆพัดผ่านร่างของเราท่ามกลางความเงียบ
“ขอโทษนะ”
เสียงนั้นดังขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
“มาร์คทำให้วันนี้กลายเป็นวันที่มีความทรงจำแย่ๆไปซะแล้ว ทั้งที่เป็นวันเกิดของแบมแท้ๆ ถ้าเป็นไปได้แบมจะลืมวันนี้ไปก็ได้นะ”
ผมแนบใบหน้าลงกับไออุ่นที่มีเพียงผ้าไม่หนานักกั้นขวางไว้
กระชับกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น
“ไม่เห็นต้องขอโทษอะไรเลย
การได้รักกับมาร์คเป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดของแบม
จะไม่ลืมหรอก
ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ลืม”
…ไม่มีทางลืมได้อยู่แล้ว
**
2 ปีต่อมา
ยี่สิบสี่เดือนเต็มหมุนวนผ่านไปตามปฏิทินและกฎเกณฑ์อันแข็งแกร่งของเวลา ทุกคนรวมทั้งผมกลับมามีจังหวะชีวิตที่ปกติแบบเดิม
อย่างน้อยผมก็คิดว่ามันปกติ
แปลกดีเหมือนกันที่ทุกคนเอาแต่กันผมออก
มัวแต่นึกว่าต้องปกป้องความรู้สึกของผม
แต่ทว่าผมกลับเป็นคนที่มีสติที่สุดในช่วงเวลานั้น
หลังจากงานศพอย่างเรียบง่ายที่สุสานใกล้บ้านที่ครอบครัวพี่มาร์คอาศัยอยู่เสร็จสิ้นลงจนกระทั่งผ่านไปจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ร้องไห้อีกเลยซักครั้ง
มีหลายคนแวะเวียนมาถามข่าวคราว น้ำเสียงและสายตาที่ห่วงใยที่ส่งมาด้วยความจริงใจนั้นทำให้รู้สึกซาบซึ้งทุกครั้งที่ได้รับ
ได้แต่พร่ำบอกผู้คนเหล่านั้นซ้ำๆว่าไม่เป็นไร
ผมอยู่ได้สบายมาก ทว่ากลับไม่มีใครเชื่อนัก
หลังจากวันนั้นไม่นานพี่ชายที่รักอิสระของผมก็ขอมาอยู่ด้วยที่คอนโดเพราะอยากพักผ่อนเงียบๆหลายเดือน
ผมไม่ได้ปฏิเสธคำขอนั้นทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าที่ฝ่ายนั้นมาก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะมาเฝ้าผมไว้ไม่ให้เศร้า คิดสั้นหรืออะไรก็ตามแต่
ผมรู้ว่าคนส่วนใหญ่ค่อนข้างแปลกใจที่ยังเห็นผมไปไหนมาไหนเหมือนปกติ
ยังออกไปข้างนอก ไปห้าง ไปร้านอาหารเมื่อก่อนทุกอย่าง
ยังอยู่ห้องเดิมที่เคยอยู่ ของทุกชิ้นก็ยังวางอยู่ตรงที่เดิมที่มันเคยอยู่
ผมไม่ได้ยึดติดหรือฝืนทำตัวร่าเริง
อันที่จริงผมเองก็สงสัยว่าทำไมจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ร้องไห้แม้ซักครั้ง
ครืด ครืด
อุปกรณ์สื่อสารเครื่องเดิมสั่นบนโต๊ะอาหารของห้องส่วนตัวที่สมัยตอนที่มีพี่มาร์คอยู่แทบจะเป็นห้องร้างเพราะผมย้ายไปอยู่กับฝ่ายนั้น
หน้าจอสว่างวาบขึ้นมาเป็นรูปเดียวกับที่เคยตั้งเมื่อสามปีก่อน
รูปหัวเข่าชนกันมันคงดูไร้ความโรแมนติกและไร้จุดประสงค์สำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับผมมันทำให้ใจยังอุ่นเมื่อคิดถึงเขาคนนั้น
คนที่จากไปแบบไม่มีวันกลับมา
"ฮัลโหลครับ"
กรอกเสียงให้ปลายสายได้ยินหลังจากดูชื่อแล้วคุ้นเคยเป็นอย่างดี
[เป็นยังไงบ้างแบม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะลูก]
หลังจากที่พี่มาร์คจากไป ผมก็ไม่ค่อยได้แวะเวียนไปหาบ้านของเขาอย่างเคย ไม่รู้สิครับ เราต่างคนก็ต่างพยายามจะใช้ชีวิตราวกับไม่เคยสูญเสียใครไป ผมเองก็มีวิธีของผมซึ่งมันดูจะได้ผลและทำให้ก้าวเดินต่อได้อย่างทุกวันนี้
"สบายดีครับคุณป้า ว่าแต่มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าครับ"
[เรียกแม่อย่างเดิมเถอะลูก พอดีจะเข้าไปเคลียร์ของในคอนโดมาร์คน่ะ แบมอยากไปด้วยไหม]
ใจสะดุดกับชื่อของพี่มาร์คเช่นเคยแต่ไม่เท่าแต่ก่อนอีกแล้ว ผมคิดว่าผมทำใจได้แล้ว และเขาก็อยู่ในที่ๆปลอดภัยในใจของพวกเราอีกด้วย
"ได้ครับ เดี๋ยวแบมออกเลย"
[ได้จ่ะ แล้วเจอกันนะลูก]
วางสายก่อนมือจะเลื่อนขึ้นมาคลำหาแหวนเงินเรียบๆที่ร้อยกับสร้อยบนคอไว้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็นแหวนคู่ที่แทบไม่เคยใส่บนนิ้วเพราะกลัวจะหลุดหาย
ของสำคัญอีกชิ้นที่ไม่อยากทำหล่นหายระหว่างทาง
ตลอดเวลาที่อยู่บนแท็กซี่ผมนั่งดูรูปเก่าๆของพวกเราในโทรศัพท์
ใช้ปลายนิ้วค่อยแตะไล้ไปตามกรอบหน้าของคนในรูป
คิดถึงเหลือเกิน
คิดถึงดวงตาที่คอยทอดมองกันด้วยความรัก
จมูกโด่งที่มักจะฝังอยู่ในพวงแก้มของผม
ริมฝีปากอุ่นร้อนที่ค่อยกระซิบถ้อยคำหวานหู
คิดถึงทั้งหมดของพี่มาร์ค
คิดถึงสุดหัวใจ
ผมเดินทางมาเจอกับคุณแม่ของมาร์คที่หน้าตึกคอนโดคุ้นตา สมัยก่อนผมแทบจะย้ายข้าวของมาอยู่กับพี่มาร์คที่นี่เหตุเพราะเจ้าตัวงอแงอยากจะอยู่ด้วยกันและคอนโดผมก็เล็กไปนิดกับการอยู่สองคน
ก็คงจะมีข้าวของเหลืออยู่ในห้องบ้างเพราะผมไม่เคยกลับมาเก็บเอาคืนไป
"เอ้อ วันนี้วันเกิดแบมใช่มั้ยลูก แม่ซื้อเค้กมาฝาก จำได้ว่าเราชอบทาน"
ร่างเล็กเอ่ยกับผมพร้อมยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลอ่อนที่บรรจุกล่องเค้กชิ้นพอดีสำหรับหนึ่งคน
"อ๋า ผมก็ลืมไปเลยครับ แหะๆ"
จริงๆผมเลิกฉลองวันเกิดไปนานแล้ว
เพราะมันเป็นวันที่พี่มาร์คจากไป
ผมมองตัวเลขบนผนังลิฟต์อย่างใจเย็น ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรืออะไร แค่นึกถึงตอนที่ไปผับด้วยกันแล้วพี่มาร์คเมาจนเกือบอ้วกคาลิฟต์ก็อยากจะลอบยิ้มเล็กน้อย
มาถึงทางเดินที่แต่ก่อนจูงมือยื้อแย่งกันไปมา เคยแม้แต่ทะเลาะกันจนข้างห้องเปิดประตูออกมาตำหนิ
ผมไม่เคยคิดจะลืมความทรงจำเก่าๆเหล่านี้ ยังคงเก็บมันไว้เหมือนม้วนฟิล์มที่นำกลับมาล้างเมื่อไหร่ก็ได้รูปแบบเดิม อาจจะเลือนลางสำหรับบางคน แต่สำหรับผมพี่มาร์คจะยังชัดเจนเสมอ
แกร๊ก
ผมพูดใช่ไหมครับว่าผมทำใจได้แล้ว
คิดซะว่ามันคือคำโกหกก็แล้วกัน...
ทันทีผมเห็นบานประตูสีขาวคุ้นตาบานเดิมถูกเปิดออก
ภาพทับซ้อนของเหตุการณ์ทุกอย่างฉายชัดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะท่านอนกินป๊อบคอร์นบนโซฟาขาก่ายกันดูทีวี เสียงของคนที่โตแต่ตัวเรียกร้องให้ป้อนข้าวหรือแม้กระทั่งสระผมให้ เสียงของผมที่ตะโกนดุพี่มาร์คเวลาลืมปิดทีวี
ไออุ่นบนไหล่และรอบตัวเมื่ออีกฝ่ายเกยคางโอบกอดมาจากด้านหลัง
หยาดน้ำตาของทุกครั้งที่มีปากเสียง
รสจูบที่ไม่เพียงไม่เคยลืม แต่ตั้งใจจะจดจำ
ทุกการกระทำ
ทุกรายละเอียด
ทุกความทรงจำ
They say that time’s supposed to heal ya
But I ain’t done much really
"ไม่เป็นไรนะแบม ไม่เป็นไร"
ประโยคเดียวกับที่พี่มาร์คเคยพูดกับผมตอนรู้สึกเจ็บใจในผลสอบจนร้องไห้ออกมา ตอนนี้ถูกเอ่ยโดยผู้เป็นแม่ของเขา
อ้อมกอดละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่คิดถึง ไม่ใช่เพราะความเป็นจริงแต่เป็นเพราะจินตนาการ
มีแค่เสียงสะอื้นไห้เสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงของฝ่ามือของหญิงสูงวัยซึ่งลูบหลังปลอบผมอยู่
เหมือนยิ่งร้องไห้เสียงของความเศร้ายิ่งดังขึ้น
เหมือนยิ่งคิดว่าเดินต่อได้ ก็ยิ่งรู้ว่าหลอกตัวเอง
"หนูไปรักคนอื่นได้แล้วแบม พี่มาร์คไม่อยู่แล้วนะลูก เขาไปสบายแล้ว พี่เขาทรมานมามาก ร่างกายพี่เขารับไม่ไหวแล้ว หนูไปรักคนอื่นได้แล้วนะครับ แม่เข้าใจ แม่ไม่ว่าหนูหรอก พี่มาร์คเองก็คงเข้าใจ"
เอ่ยพร้อมกับลูบเส้นผมสีอ่อนของคนรักของลูกชายอย่างแผ่วเบา ทว่าเสียงนั้นเหมือนจะไม่ได้เข้าไปในหัวของคนที่กำลังร่ำร้องอยู่ซักนิด น้ำใสยังหลั่งรินราวกับจะไม่มีวันแห้งเหือดลง
อาจจะไม่มีวันนั้น
ผมแค่ไม่มีแรงจะทำแบบนั้นอีกต่อไป
เมื่อสิ่งของ กลิ่น เสียง สัมผัส ทุกความรู้สึกที่เตือนให้จำว่าผมไม่เคยลืมคนๆนี้ ที่แห่งนี้ ความทรงจำกับทุกสิ่งในนี้และนอกจากนี้
ผมเลยไม่มีแรงจะทำเป็นว่าไม่เป็นไรอีกต่อไป
มาร์ค...
คิดถึงแบมบ้างมั้ย.. แบมคิดถึงมาร์คมากเลยรู้รึเปล่า
อยากบอกให้รีบกลับมาไวๆ
อยากจะไปหา
อยากเจอหน้า
อยากสบตา
อยากสวมกอด
อยากทำทุกอย่างที่เคยทำได้
อยากทำแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าคิดถึงแค่ไหนก็ไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีกแล้ว
แล้วผมก็พบว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยทำใจกับการจากไปของพี่มาร์คได้เลย
*
ผมยังคงนั่งอยู่บนรถไฟเที่ยวเดิมที่เคยนั่งมาด้วยกัน ยังคงจำเลขที่นั่งของเบาะในวันนั้นได้ ยังคงเก็บตั๋วตั้งแต่คราวก่อนไว้
ใครกันบอกว่าจะลืม
ดวงตามองวิวที่พัดผ่านไปในทิศทางตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ใบไม้ที่เคยเห็นเป็นรูปทรงกลับดูเลือนลาง
ใครกันบอกว่าเวลาจะช่วยให้ผมดีขึ้น
ใครกันบอกว่าเวลาจะรักษาทุกอย่าง
ผมพิสูจน์แล้วว่าเวลาไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไป
ผมพิสูจน์แล้วด้วยการกลับมาใช้ชีวิตเดิมซ้ำๆ
ผมแน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่หายไปอย่างแน่นอน
เหมือนที่ผมแน่ใจว่าเขายังอยู่ตรงนี้
นิ้วเรียวหมุนแหวนทองคำขาวซึ่งคล้องอยู่กับสร้อยบนคอและลูบคลำอยู่แบบนั้นซ้ำๆราวกับว่าเวลาจะสามารถย้อนกลับตามแหวนที่เขาหมุน
เมื่อไม่มีทางที่เขาจะย้อนคืนมา
ผมก็แค่อยู่กับพี่มาร์คในความทรงจำของตัวเอง
และเมื่อผมหลับตาลงเขาก็ยังอยู่ตรงนี้
ที่ว่างที่มีแค่เขาคนเดียวที่สามารถเป็นเจ้าของมันได้
อยู่ในใจตรงนี้เสมอ
ในช่วงชีวิตของคนเราน่าจะมีสิ่งหนึ่งที่เรารู้ดีว่ามันจะไม่หายจากกันไปไหน
อาจจะไม่ใช่คนๆหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งของ
แต่อาจเป็นความรู้สึก
ความรู้สึกที่พิเศษซึ่งเราสามารถมอบให้กับบุคคลพิเศษที่ไม่ว่าใครก็มาแทนไม่ได้
ความสัมพันธ์ในแบบที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร
ความซับซ้อนที่ไม่คิดจะนิยามเสียเท่าไหร่
แต่เป็นความผูกพัน เป็นความรัก เป็นอะไรก็ตามแต่
เป็นความรู้สึกที่รู้ดีว่ามีแค่เราที่เข้าใจ
ความสัมพันธ์ซึ่งไม่คิดจะหาอะไรมาทดแทน
เพราะไม่คิดว่าจะทำ และไม่คิดว่าจะทำเช่นนั้นได้
ผมกับพี่มาร์คเป็นแบบนั้น
Always was
Always will be
Always …
Finite but definite