01
"มาร์ค!"
ผมตะโกนชื่อเขาแบบไม่มีคำนำหน้าทั้งๆที่เขาแก่กว่าผมราวสี่ปี พี่มาร์คหันมาหาผมด้วยรอยยิ้มอันคุ้นเคย
รอยยิ้มที่คนรอบข้างบอกว่ามีแต่ผมเท่านั้นที่คุ้นเคย
"ไปซื้อขนมกัน"
จริงๆผมไม่ได้แค่อยากออกไปหาอะไรกิน แต่ผมอยากไปเดินเล่นรับลมมากกว่า และเห็นทีนั่นจะเป็นโค้ดลับที่มีแค่ผมกับเขาที่รู้
"กินจนแก้มย้อยแล้วนะแบม"
เสียงทุ้มเข้ามาใกล้พร้อมมือใหญ่ส่งมาบีบและยืดแก้มสองข้างของผม แต่ร่างสูงก็เดินไปใส่รองเท้าหน้าประตูห้องอยู่ดี
"พี่มาร์คบ่นแต่ก็ตามใจแบมแบมตลอดอะ"
ยองแจผู้กำลังนั่งดูทีวีเอ่ยขึ้นเนือยๆพร้อมกรอกตาไปมาอย่างล้อเลียน
มั่นใจว่าผมเคยได้ยินประโยคนี้เกินยี่สิบครั้งแน่นอน
และมันก็ไม่ได้มาจากยองแจคนเดียว
ตอนเรียนมหาลัยผมอยู่หอกับยองแจและพี่มาร์ค ยองแจเป็นเพื่อนที่คณะซึ่งขอย้ายเข้ามาด้วยเหตุผลที่ว่าห้องผมมีตั้งสองห้องนอน และผมก็แบ่งห้องกับยองแจได้สบาย พี่มาร์คก็ไม่ว่าอะไร เราสามคนเลยมาอยู่ด้วยกัน พูดตรงๆยองแจไม่ค่อยอยู่หรอกครับ เขามักจะค้างที่คณะเสมอเพราะงานกิจกรรมเยอะไปหมด
ผมกับพี่มาร์คเดินออกมาซื้อขนมที่เซเว่นหน้าหอจริงๆอย่างที่พูด หากแต่การเดินออกมาของเราไม่ได้จบแค่นั้น แถวหอไม่ได้เปลี่ยวมากมายเนื่องจากยังอยู่ใกล้รั้วมหาลัยมาก ยังคงมีร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ยี่สิบสี่ชั่วโมงเปิดอยู่ และคาเฟ่บางที่ก็ยังไม่ปิด
พี่มาร์ครู้ว่าผมชอบเดินเล่น
ผมก็รู้ว่าเขาชอบเดินเล่นเช่นกัน
"ชิมของแบมหน่อยดิ"
คนข้างกายเอ่ยพร้อมเอี้ยวตัวมาใกล้โดยมีเป้าหมายคือไอศครีมแท่งรสโปรดของผมซึ่งเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ เออคนเราจะมาชิมอะไรตอนนี้ที่จะละลายหมดแท่งแล้ว ตลกแปลกๆ
"กินของตัวเองไปดิ ของแบมจะหมดแล้ว"
ผมเบี่ยงตัวหลบแต่ร่างสูงก็ยังขยับตามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมือหนาสามารถคว้าเข้าที่มือของผมก่อนจะออกแรงดึงให้แท่งไอศครีมไปจ่อที่ปากของเขา
พี่มาร์คหัวเราะเมื่อแกล้งผมสำเร็จ เพราะผมเป็นคนค่อนข้างหวงของพอสมควรโดยเฉพาะของกิน
เขาจับมือผมแกว่งไปแกว่งมาเหมือนจะง้อให้ผมหายงอน มันดูเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนสิ้นดีแต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการกระทำเด็กๆแบบนี้ก็ทำให้ผมยกโทษให้เขาได้บ่อยครั้ง
จนพี่มาร์คย้ายออกจากหอไปเพราะเรียนจบแล้ว
จนผมขนข้าวของออกเพราะได้รับปริญญาบัตร ความสัมพันธ์ของเราก็ยังไม่เปลี่ยนไป
มันเหมือนอะไรที่รู้ว่าจะไม่แปรผัน
บางอย่างที่รู้ว่าจะไม่จากไป
แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่มาร์คไม่รู้
ผมน่ะหวงแหนเวลายิ่งกว่าไอศครีมแท่งนั้นเสียอีก
*
ผมหลับตาลง
แม้ดวงตาจะปิดสนิทแต่ผมก็มีท้องฟ้าใสและน้ำสีครามเป็นของตัวเอง
ผมมี 'เวลา' เป็นของตัวเอง
มีความทรงจำเป็นของตัวเอง
ผมมีเขาอยู่กับผม เขาซึ่งไม่เคยจากไปไหน
แม้นั่นจะไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม
"มาร์คๆ มาดูนี่ดิๆ"
มือเล็กกวักเรียกให้อีกฝ่ายซึ่งเดินออกไปห่างกลับเข้ามาใกล้ตัว ผมพยายามอยู่ให้นิ่งที่สุดเพื่อจะไม่ทำให้ผีเสื้อบนมือบินหนีไปก่อนที่พี่มาร์คจะเดินมา แต่แล้วเขาก็ทำเสียเรื่องจนได้เมื่อสองขายาววิ่งมาและกระโดดหยุดตรงหน้าผม
"แฮ่!"
ไม่พอยังแลบลิ้นเหมือนหมาอีก
"มาร์ค! ผีเสื้อบินหนีเลยเห็นมั้ย"
บ่นไปงั้นแหละ ผมรู้ดีว่ารอยยิ้มบนแก้มปากและตาของผมมันไม่จากหายไปไหนง่ายๆเวลาอยู่กับเขา
พี่มาร์คไม่หยุดหัวเราะเสียงสูงแหลมที่เจ้าตัวชอบทำเป็นประจำ แต่กลับหัวเราะไปด้วยทรุดตัวลงข้างผมไปด้วย ศีรษะทุยเอนเข้ามาอิงกับไหล่ของผมให้ผมได้รับแรงการสั่นสะเทือนของการขำไปอีกคน
"ฮ่าๆๆ มาร์คขอโทษ แต่หน้าแบมตลกอะ"
ผมฟาดเข้าที่ตักของพี่มาร์คอย่างไม่ออมแรง แต่ก็นั่นแหละครับ เขาไม่รู้สึกเจ็บหรอกเพราะเราเล่นกันแบบนี้เป็นธรรมดา พี่มันก็ยังคงอมยิ้มไปขำไปไม่เลิกราซะที
ผมหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าและกดถ่ายรูปเข่าของผมและพี่มาร์คที่แตะกัน
"ถ่ายไรอะ เข่าสวยหรอ"
คนพี่ว่าก่อนจะลดตัวลงให้หัวของเขาอยู่บนตั้งของผมพอดิบพอดี ตาเดียวปิดลงพร้อมรอยยิ้มบางๆบริเวณมุมปาก
"เรื่องของแบมหน่า ละนี่มาร์คจะนอนหรอ แบมเป็นเหน็บง่ายนะ"
"ไม่หลับหรอก ขอพักสายตาห้านาที แป๊บนึงนะ"
จากนั้นก็มีแต่เสียงนกและเสียงลมซึ่งพัดผ่านไปโดยที่ไม่ได้สนใจความมีอยู่ของมนุษย์อย่างเราเสียเท่าไหร่
ความเงียบทำให้เหมือนมีแค่เราสองคนอยู่ตรงนี้
ผมก้มลงมองรูปในโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง
จริงๆรูปมันไม่ได้สวยอะไร
ผมเดาว่าผมแค่ชอบช่วงเวลาตอนนี้ก็เท่านั้น
สัมผัสจากเส้นผมของคนตรงหน้าคลอเคลียอยู่บนมือ
แดดอ่อนๆกำลังพอดีที่หาได้ยาก
ลมเอื่อยๆพัดเรื่อยๆอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ก็แค่อยากจะเก็บชิ้นส่วนที่จะทำให้ผมนึกถึงมันได้ตลอดเวลา
แค่นั้นจริงๆ
*
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงดังน่ารำคาญข้างหู ทว่าตาที่ยังหรี่ปรือทำให้ไม่สามารถมองสิ่งต่างๆได้ชัดเจนนัก ตอนนี้เลยรู้สึกถึงแค่ความเมื่อยล้าจากแถวก้นกบและต้นคอ
"จะถึงแล้วนะขี้เซา" คนตัวโตกว่าเอ่ยเย้าพร้อมรอยยิ้ม มือก็ประคองโทรศัพท์ขึ้นถ่ายจนแทบจะติดใบหน้าง่วงๆของผม
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะความงัวเงีย เลยเลือกที่จะเอนหัวไปพิงซบตรงแผ่นอกของคนที่นั่งหันหน้ามาทางนี้แทน
"เมารถหรอ" เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ไล้เส้นผมราวกับจะปลอบประโลมทำให้ผมยิ่งเกลือกกลั้วใบหน้าเข้ากับแผงอกนั้นกว่าเดิม
พี่มาร์คไม่ใช่คนตัวโต อันที่จริงเราก็ตัวพอๆกัน แต่น่าแปลกที่เมื่อซบลงไปแล้วกลับทำให้รู้สึกเสมือนถูกปกป้อง มันปลอดภัยและสบายใจมากเหลือเกิน
ผมรู้ดีว่าอกของพี่มาร์คกว้างพอสำหรับผม
"จะกินยาหรือเปล่า เวียนหัวมากไหม"
เมื่อไม่ได้ยินการตอบกลับจากผมเสียงนั้นก็ดูจะกังวลขึ้นมานิดหน่อย ผมคิดว่าเขาคงจะวางโทรศัพท์ที่ยกขึ้นเพื่อถ่ายรูปลงแล้วเปลี่ยนไปค้นกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเจ้าตัวแทน เสียงกุกกักที่ดังข้างๆบอกกับผมแบบนั้น
"เปล่า แค่ง่วง" ในที่สุดผมก็ตัดสินใจผละออกมานั่งตัวตรง ลืมตามองข้างทางที่เต็มไปด้วยสีของธรรมชาติ พยายามทำตัวให้ตื่นก่อนที่พี่มาร์คจะนึกไปว่าผมเมารถจริงๆแล้วยัดยาเม็ดสีเหลืองที่เจ้าตัวเตรียมมาใส่ปากผม
อ่า การเดินทางด้วยรถไฟนี่นานดีจังเลยน้า
ผมอ้าปากหาวพร้อมกับบิดขี้เกียจไปอีกสองสามทีด้วยความเมื่อยขบ นั่งซบไหล่พี่มาร์คหลับมาตลอดทางมันก็โรแมนติกดีอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าทำแล้วปวดตัวชะมัดยาด พวกนางเอกในละครไม่เห็นบอกไว้บ้างเลย
แต่ช่างเถอะ ถ้าเทียบกับความรู้สึกดีๆที่ได้รับกลับมาผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร
"ไหวไหมเนี่ยยยยย"
ผมก้าวถอยหลังไปแล้วแนบดวงตามองผ่านกล้องตัวโปรด จากนั้นก็กดชัตเตอร์เก็บภาพคนที่สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่พร้อมเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะอยู่ตามใบหน้าและลำคอ บางส่วนนั้นถูกเสื้อสีเข้มดูดซับไว้จนเห็นรอยชื้น ฉากหลังเป็นชานชาลาที่มองเห็นชื่อสถานีติดมานิดหน่อย
คนแก่กว่าหันมามองแล้วทำหน้าบูดใส่ พอเห็นว่าผมยิ่งหัวเราะใส่ก็เลยหยิบกล้องที่ห้อยไว้ขึ้นมาถ่ายผมบ้าง
"ถ่ายหล่อๆนะ"
ผมยืนนิ่งไม่หลบขณะเก็กท่าแบบที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าทำแล้วตลกพลางยิ้มแฉ่งให้กล้อง
เอ ไม่สิ ยิ้มให้พี่มาร์คนั่นแหละ
"ถ้าถ่ายไม่หล่อแบมจะโกรธ"
คราวนี้พี่มาร์คเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาบ้าง แถมยังลดกล้องที่ถือลงอีกต่างหาก
"ยากแฮะ ยอมให้โกรธแล้วค่อยง้อง่ายกว่าเยอะเลย"
"มาร์ค!"
*
"รับอะไรดีคะ"
พนักงานต้อนรับส่งยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้ ทำเอายกมือรับแทบไม่ทัน
กวาดตามองเมนูอาหารแล้วก็เผลอถอนใจกับราคาอาหารที่นับวันจะสูงขึ้นทุกที
ร่างบางอ่านมันอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกเมนูเดิมๆที่สั่งในทุกครั้งที่มาอย่างข้าวผัดปู ต้มยำกุ้งและปลาหมึกผัดไข่เค็ม น้ำปั่นอีกสองแก้ว
ระหว่างนั่งรอผมมองไปรอบๆร้าน จากตรงนี้สามารถเห็นน้ำทะเลใสแจ๋วสีฟ้าอมเขียวได้อย่างชัดเจน
สมกับที่เขียนไว้ว่าเป็นร้านที่มองเห็นวิวได้สวยที่สุด
"ทำไมวันนี้สั่งน้อยจัง"
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาเรียวซึ่งพลันสบกับผม ผมยิ้มน้อยๆ โบกมือไปมาเป็นเชิงไม่มีอะไร
"แหม แบมไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นซักหน่อย มาร์คเว่อร์ตลอดอะ"
ยู่ปากพอเป็นพิธีแล้วก็เสมองออกไปยังวิวแสนสวยตรงหน้าอีกครั้ง
ผมชอบมองน้ำสีฟ้าอมเขียวซึ่งบรรจบกับฟ้าสีครามที่เส้นตรงยังปลายขอบฟ้าตรงนั้น ผมคิดว่ามองโดยไม่คิดอะไรได้ คิดว่าทุกครั้งที่มองจะสมองโล่งได้
แต่ครั้งนี้ผมกลับมีแต่ความคิดในหัว
แค่คิดว่าไม่อยากให้ถึงวันที่ไปยังเส้นสุดขอบฟ้านั่นเลย
ปล่อยให้ลมเหนอะหนะของทะเลหอบไอเค็มปะทะหน้าได้ซักพัก พนักงานคนเดิมก็เอาน้ำมะพร้าวปั่นและน้ำแตงโมปั่นอย่างละแก้วมาวางเสิร์ฟไว้แล้วเดินออกไป
ผมชอบน้ำมะพร้าว
ส่วนพี่มาร์คชอบน้ำแตงโม
"อันนั้นอร่อยไหมอะ" ชะโงกหน้าไปหาเจ้าของน้ำปั่นสีแดงแล้วก็ถามไปงั้นพอเป็นพิธี อันที่จริงมันแปลว่าอยากชิมมากกว่า
ร่างสูงนั่นก็เหมือนจะรู้ดีเลยถือแก้วขึ้นพลางจับหลอดไว้ ป้อนให้ผมใช้ปากดูดชิมน้ำหวานที่อยู่ในแก้ว
"เฮ้ยอันนี้อร่อย"
"ไหนว่าน้ำมะพร้าวอร่อยสุด" เจ้าตัวเอ่ยแซว ก่อนจะดึงแก้วกลับไปกิน ทำท่าทางอร่อยนักหนายั่วโมโห
"น้ำมะพร้าวอร่อยสุด! แต่แตงโมก็อร่อยเหมือนกันนี่"
"จะกินสองอย่างเลยหรอ ตะกละจนแก้มยานถึงพื้นแล้ว" ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือมาดึงแก้มผมอีกต่างหาก
"ก็กินของมาร์คด้วยไง แค่นี้ก็ได้กินทั้งสองอย่างแล้ว"
"ไม่ให้"
"อ้าว!"
เห็นผมขึ้นเสียงใส่พี่มาร์คก็ยิ้มร่า ชอบแหย่ตลอดแหละครับคนนี้
ผมเบ้ปาก เชิดหน้าใส่จนคางแทบจะติดเพดานเหมือนพวกนางร้ายในละคร
"โอ๋ๆ อย่างอนนะ" คนแก่กว่าพยายามเอาใจด้วยการเอาหลอดน้ำแตงโมมาจ่อถึงปาก ผมก็ขี้เกียจจะเล่นตัวเลยดูดไปเต็มแรง ผลคือเย็นจี๊ดไปถึงสมอง
ไอ้พี่มาร์คหัวเราะจนน้ำตาเล็ด เลยถูกผมฟาดไม่ยั้งทั้งที่มืออีกข้างก็ยังกุมขมับแน่น โอ๊ยปวดหัว
"อย่าตายนะ แข็งใจไว้"
พูดไปก็หัวเราะไปด้วย ไม่ได้มีความเห็นใจให้กันซักนิด
"บ้าหรอ ไม่ตายหรอก แบมจะอยู่แย่งน้ำแตงโมมาร์คกินไปจนกว่าจะอายุครบร้อยปีเลย!"
"ให้มันจริง อย่าทิ้งเค้านะเตง" เวลาคนเสียงต่ำๆดัดเสียงเล็กเสียงน้อยนี่โคตรตลกเลยครับ อดที่จะให้รางวัลเป็นฝ่ามืองามๆซักทีสองทีไม่ได้
"เตงบ้าไร!"
พี่มาร์คหัวเราะออกมาอีกครั้ง อยู่กับผมแล้วขำตลอดแหละ หัวเราะตลอด กรามจะค้างเข้าซักวัน
"เอาเป็นว่ายังไงก็ห้ามเลิกกัน คบไปเรื่อยๆจนแบมอายุร้อยปีเลยดีไหม ไม่ใช่อะไรนะ แค่สงสาร กลัวใครบางคนไม่ได้กินน้ำแตงโม"
ฝ่ายนั้นพูดหน้าตาเฉยก่อนจะเอานิ้วก้อยใหญ่ๆมาล็อกนิ้วก้อยผม ชิงลงมือแบบที่ยังไม่ทันตั้งตัว
คนแก่กว่าส่งยิ้มให้
"สัญญากันแล้วนะ"
ริมฝีปากอิ่มวาดรอยยิ้มกว้างขณะทอดสายตามองแก้วน้ำทั้งสองอันที่วางอยู่เคียงกัน
ของที่ผมชอบ ของที่พี่มาร์คชอบ
ของที่เราชอบ
เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอยากจะเชื่อในคำมั่นสัญญา
ท้องทะเลยังคงสวยงามเสมอ
ถึงแม้จะมีคนบอกว่าถ้าเทียบกับปีที่แล้วน้ำสีเขียวอมฟ้าใสกว่านี้หรือหาดทรายขาวละเอียดจะสะอาดกว่านี้ก็ตาม
ผมไม่สนเรื่องแบบนั้นหรอก เพราะสำหรับผมแล้วมันก็ยังคงงดงามเหมือนดังที่เคยเป็น
สิ่งที่ผมชอบมากจนเรียกได้ว่าเป็นความหลงใหลอย่างหนึ่งของทะเลคือสีฟ้าครามกระจ่างที่ตัดกับสีของอมเขียวของผืนน้ำ
ผมสามารถมองมันได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเบื่อเลยด้วยซ้ำ
ความรู้สึกเย็นสดชื่นจากเกลียวคลื่นสีขาวที่กระทบข้อเท้ารวมถึงลมแรงที่ปะทะตัวนั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบรองลงมา
แต่สิ่งที่ผมรักที่สุดคือเจ้าของรอยเท้าใหญ่ๆที่ประทับไว้บนผืนทราย ข้างรอยเท้าที่เล็กกว่าของผม
His presence is like a tattoo
It hurts to get one
Even more painful to remove
It is something
Which is meant to last
ผมรักเวลาที่เราอยู่เคียงข้างกัน
No comments:
Post a Comment