Sunday 8 November 2015

#มบรถไฟ 02



People say you won’t know how important time is until the hourglass is running out of sand. 

But what did I do wrong?
I am sure I have been taking good care of our time and you…

So tell me what went wrong
Why am I losing what I treasure most?




"มาร์คอยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวแบมทำมาให้"

ผมกุมมืออุณหภูมิต่ำกว่าของอีกฝ่ายไว้ รอบตัวไม่มีเสียงใดนอกจากเครื่องวัดอัตราการเต้นหัวใจและเสียงเครื่องปรับอากาศ 
พี่มาร์คในชุดโรงพยาบาลสีเขียวอ่อนยิ้มให้ผมราวกับว่าเรายังมีชีวิตอยู่อย่างธรรมดา


"อยากกินไข่ยัดไส้"

ผมหัวเราะกับเมนูของเขา เมนูง่ายๆที่จริงๆแล้วคนป่วยไม่สมควรทานเท่าไหร่ ยิ่งคนที่เตรียมตัวเข้าผ่าตัดแบบเขาคือลืมไปได้เลย


"จะกินได้ยังไง มันหนักไป หมอให้กินแค่โจ๊กล่ะมั้ง"

ผมหยอกเขาเล่นเมื่อเห็นว่าคนอายุมากกว่าทำหน้าบูดยามถูกขัดใจ บางทีพี่มาร์คก็เหมือนเด็กงอแงซึ่งนั่นก็ตลกดีสำหรับผม

ลดศีรษะลงวางบนบริเวณไหล่ของอีกฝ่าย ผมจับมือพี่มาร์คไว้หลวมๆ ด้วยความรู้สึกนิ่งงัน


แค่ขอให้ได้ยินเสียงลมหายใจนี้ก็พอใจแล้ว



บรรยากาศหน้าห้องผ่าตัดเป็นไปอย่างเคร่งเครียดเหมือนในละครที่พวกเขาดูด้วยกันบ่อยๆ ทว่าความรู้สึกนั้นมากกว่าที่ผมเคยคาดคิดไว้เสียอีก คงเป็นเพราะคนที่นอนอยู่ในห้องท่ามกลางสายระโยงระยางและเครื่องมือแพทย์คือพี่มาร์ค 


คนที่ผมรักมากเหลือเกิน


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ายาวนานราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ผมได้แต่บีบมือตัวเองแน่น น่าแปลกที่คนไม่เคยใส่ใจศาสนาใดๆแบบผมกลับเลือกที่จะสวดอ้อนวอนไม่หยุด ขอให้ใครก็ตามอย่าเพิ่งพาเขาไปไหน อย่าได้พรากเขาจากผมไป

หนังสือสวดมนต์ถูกวางไว้ข้างๆม้านั่งพลาสติกที่เป็นแถวยาวของโรงพยาบาล ถ้อยคำสวดในเล่มพิมพ์เป็นภาษาไทยก็จริง ทว่ามันก็เป็นคำพูดที่ผมไม่เข้าใจ แต่การที่พร่ำภาวนาในใจมาร่วมหลายชั่วโมงก็ทำให้จำมันได้ดีโดยที่ไม่ต้องเปิดอ่าน

ผมจ้องไปที่ประตูกระจกซึ่งถูกรูดผ้าม่านสีเขียวจากด้านในอย่างรอคอย ไม่กล้าแม้แต่จะพักสายตา
ปากก็ขยับพึมพำสวดคำบาลีอย่างไร้เสียง กลัวว่าจะทำให้ครอบครัวของพี่มาร์คที่นั่งถัดไปไม่ไกลนักขวัญเสียกว่าเดิม

จริงอยู่ว่ามันไม่ได้ทำให้ผมสงบหรือกังวลน้อยลง อันที่จริงอาจจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ได้
แต่มันแค่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้

ความรู้สึกหวาดกลัวที่จะเสียใครไปจากชีวิตมันเป็นแบบนี้นี่เอง 
กลัวจนทรมานไปทั้งอก

เพิ่งรู้เหมือนกันว่าผมรักเขามากขนาดนี้
เพราะฉะนั้นมาร์คต้องกลับมาหาแบมนะเข้าใจไหม 


กลับมาอยู่ด้วยกัน



*


สัมผัสเบาบนบ่าแตะเรียกให้ผมสะดุ้งลืมตาขึ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอหลับตาไปตอนไหน ณ ตอนนั้นร่างกายคงจะควบคุมทุกอย่างที่สมองปฏิเสธจะสั่งงาน เมื่อสติทั้งหมดบอกว่าต้องตื่นเพื่อรอพี่มาร์คแต่ความเหนื่อยล้าโจมตีจนต้องสัปหงกอยู่หน้าห้องผ่าตัด


"แบม มาร์คออกจากห้องผ่าตัดแล้วนะ"

จำได้อย่างเดียวคือรอยยิ้มของพี่แทมมี่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหมายของประโยคเมื่อครู่คืออะไร สติทั้งหมดเลือนหายไปตั้งแต่เห็นรอยยิ้มของพี่แทมมี่

อาจเพราะคิดว่ามันคือสัญญาณอันดีว่าพี่มาร์คปลอดภัย

ขาทั้งสองข้างลุกขึ้นอัตโนมัติพร้อมก้าวเดินตามพี่สาวของมาร์คไปยังห้องไอซียู ถึงเราจะยังเข้าเยี่ยมไม่ได้แต่อย่างน้อยผมก็ได้เห็นเขาจากตรงนี้

มือเย็นชื้นเหงื่อของผมสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อทาบลงกับกระจกใสซึ่งเผยให้เห็นภาพของผู้ชายที่ผมรัก

เขานอนนิ่ง ดวงตาสวยคู่นั้นปิดสนิท มีสายช่วยหายใจและสายน่ำเกลือระโยงระยางเต็มไปหมด อีกทั้งเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจและอะไรอีกมากมายที่ผมเคยไม่รู้จักมันและไม่ค่อยอยากจะรู้จักเท่าไหร่

ผมไม่ได้เรียนแพทย์มา และผมไม่เคยเก่งวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะชีววิทยา ผมเคยไม่เข้าใจศัพท์ยากๆพวกนี้ แค่ความหมายของคำว่าความดันเลือดก็มากที่สุดสำหรับผมแล้ว


แต่วันนี้ผมรู้จักทั้งหมดนี่ดีเพราะพี่มาร์ค





"อืม..."

ผมสะดุ้งตื่นจากการฟุบหลับอีกครั้งในหลายรอบของวันเมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบและรับรู้ถึงการขยับกล้ามเนื้อของคนบนเตียง


"มาร์ค"

สมองเหมือนจะยังประมวลผลอะไรไม่ได้มากแต่มือก็เอื้อมไปกดปุ่มเรียกพยาบาลทันทีที่เห็นว่าพี่มาร์คลืมตาแล้ว


"ไง"

เขายิ้มบางและเหมือนนั่นจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวเดียวที่เหลือเพื่อให้น้ำใสไหลลงจากดวงตาอย่างไม่รู้ตัว


"ไงอะไรกันเล่า... ฮึก"

ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไรอยู่ ทุกอย่างเหมือนตีตื้นขึ้นมารื้นบนขอบตาร้อนผ่าว มือถูกส่งออกไปจับฝ่ามือเย็นที่หงายขึ้นของอีกคน


"คนไข้รู้สึกตัวแล้วหรอคะ"

เสียงนางพยาบาลในชุดสีขาวเรียบร้อยตามแบบฟอร์มของโรงพยาบาลดังขึ้น พร้อมกับครอบครัวของมาร์คที่เดินเข้ามาล้อมรอบเตียงผู้ป่วยกันทั้งบ้าน

แพทย์เจ้าของไข้ทำการเช็คนู่นนี่ตามประสาผู้ป่วยผ่าตัดเพิ่งฟื้นพึงจะได้รับ พอเสร็จทุกอย่างเรียบร้อยนายแพทย์วันกลางคนก็หันมายิ้มกับพวกผม


"ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะครับ คงจะอยู่โรงพยาบาลไปซักพัก แต่ไม่นานมากหรอกครับเพราะคนไข้ฟื้นตัวเร็วมาก"

ได้ยินดังนั้นผมก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่ได้ เจ้าหนูไคลี่และเลล่าหลานสาวของมาร์คเองก็เดินมาจับมือผมไว้ด้วยความตื่นเต้น


"อามาร์คหายแล้วเราไปเที่ยวกันนะคะอาแบมแบม"

เสียงเจื้อยแจ้วแสนสดใสดังระงมเมื่อผมเริ่มจะพยักหน้าและยิ้มตาม เหลือบไปมองเจ้าตัวคนไข้เองที่ยิ้มกว้างมองผมและครอบครัวของเขาก็ทำให้ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงอีกครั้ง


"ไหนล่ะไข่ยัดไส้ของมาร์ค"

ผมหัวเราะให้กับประโยคเต็มประโยคแรกที่เขาพูดกับผม มันไม่ใช่ 'กลับมาแล้วนะ' หรือ 'เดี๋ยวหายแล้วไปเที่ยวกัน' หรืออะไรซึ้งๆอย่างที่เคยดูในหนังและละครภาคค่ำ แต่เป็นการทวงมื้ออาหาร


ถึงอย่างนั้นผมก็ดีใจที่ได้ยินเสียงของเขา


"บูดไปแล้ว มาร์คหลับไปนานเกิน"

จริงๆผมก็ลืมคิด ตอนนั้นตื่นเต้นจนทำข้าวกล่องมาเร็วไปนิด ลืมคิดไปเลยว่าถ้ามานั่งรอเฉยๆจะไม่มีตู้เย็นให้ใส่ข้าวไข่ยัดไส้


"อ้าว แล้วทำไมไม่ใส่ตู้เย็นอะ มาร์คอยากกิน"

คนป่วยเริ่มทำแก้มพองลม ใบหน้าซึ่งซูบลงเล็กน้อยแสดงท่าทางงอนเสียเต็มประดา


"จะเอาไปไว้ที่ไหน แบมอยู่หน้าห้องผ่าตัด หน้าห้องไอซียูเนี่ย"

พอแจกแจงเหตุผลสีหน้าคนป่วยก็กลับมามองอย่างเว้าวอน มือใหญ่กลับมาบีบมือของผมย้ำๆ


"เสียดายของอะ ทำให้มาร์คกินอีกนะๆๆ"

เจ้าตัวพยายามบีบเสียงแหบแห้งให้เล็กดังเด็กวัยกำลังโต บางทีผมก็สับสนว่าเขามีแรงทำอะไรแบบนี้ได้ยังไงทั้งๆที่เพิ่งจะฟื้นได้ไม่นานนัก


"จะบ้าหรอมาร์ค นี่เพิ่งจะฟื้นใครเขากินไข่ยัดไส้กัน"

พอแกล้งทำเสียงดุใส่คนไข้จอมยุ่งก็เบะปากทันทีทันใด ผมยิ่งแกล้งก็ยิ่งขำกับท่าทางเสียดายข้าวไข่ยัดไส้ธรรมดาๆฝีมือผมของพี่มาร์ค


"แต่มาร์คอยากกินฝีมือแบมนี่นา"

ก่อนที่ผมจะได้ค้านอะไรขึ้นมาอีก คุณแม่ของพี่มาร์คก็เดินมาชิดขอบเตียงฝั่งเดียวกับผม มือของหญิงวัยกลางคนจับไหล่ของผมไว้หลวมๆ


"เอ้า เถียงอะไรกันเนี่ย คนป่วยงอแงหรอแบม"


พี่มาร์คทำท่าจะเถียงก่อนที่จะไอออกมาติดกันหลายครั้ง ผมรีบกระวีกระวาดไปหยิบแก้วน้ำที่อยู่ข้างเตียงมายื่นให้ 


"นั่นไง ไอเลยเห็นไหม ทำอะไรเป็นเด็กๆ"


คุณแม่พี่มาร์คบ่นพลางยื่นทิชชู่ให้หลังจากที่อีกคนดื่มน้ำเสร็จ ผมเลยถอยหลังออกมานิดหน่อย เพื่อที่จะให้คุณแม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ขึ้น
ทว่าคนป่วยกลับยื่นมือมายึดมือผมไว้ ไม่ยอมให้ขยับไปไหน


"...มาร์ค" 


ผมกระซิบลอดไรฟันขณะยื้อมือออกเบาๆ 
ทั้งผมและเขายังไม่เคยบอกทางบ้านถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรา ดังนั้นสถานะที่คนอื่นมองเห็นคือความเป็นพี่น้องเท่านั้น
พอพี่มาร์คมาทำแบบนี้ต่อหน้าคนทั้งครอบครัวผมเลยคิดว่าไม่เหมาะเท่าไหร่นัก


มือหนาไม่ปล่อย ยังคงส่งผ่านสัมผัสนั้นอย่างดื้อดึง
ใบหนาหล่อเหลามีการแสดงออกอย่างที่มักจะทำเวลาขัดใจ


ผมได้ยินเสียงคุณพ่อของพี่มาร์คหัวเราะออกมาเสียงเบา จากนั้นก็เอื้อมมือมาลูบหัวคนป่วยแล้วก็หันมาพูดกับผม


"ป๊ากับม๊าว่าจะพาไคลี่กับเลล่าออกไปกินไอติมซะหน่อย ฝากดูไอ้ลูกชายตัวแสบด้วยนะ ถ้าดื้อมากก็ตีได้ ป๊าไม่ว่า"


"ป๊า!" คนป่วยได้ยินก็โวยวายเสียงแห้งจนป๊าหัวเราะออกมา ไคลี่กับเลล่าได้ยินเสียงคุณตาก็ตื่นเต้นใหญ่ ผมเลยพลอยหัวเราะตามด้วยไม่ได้
มีเพียงพี่มาร์คที่นั่งหน้าบูดอย่างไม่ได้จริงจังนัก

ก็แค่อยากถูกเอาใจ 


หลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องผมก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเจ้าของร่างสูงที่ทำตัวไม่ค่อยจะสมวัยนัก 

"ไหนคนไข้เป็นอะไร บอกคุณหมอซิ" ผมแกล้งหยอก มือข้างนั้นยังคงถูกยึดกุมไว้โดยมืออุ่นของคนตรงหน้า 

ผมบีบมือนั้นเบาๆ หวังจะส่งผ่านสัมผัสของความห่วงใยไปให้พี่มาร์ค
และยืนยันกับตัวเองซ้ำๆว่าเขาอยู่ตรงนี้
ยังอยู่ตรงนี้

ร่างสูงในชุดสีอ่อนของโรงพยาบาลตบลงที่นอนข้างตัวปุๆ เป็นเชิงให้ขึ้นไปนั่งข้างๆ
แบมแบมส่ายหน้า "ไม่เอา ที่แคบนิดเดียวเอง"

“แบมไม่อ้วนซะหน่อย นอนด้วยกันได้หน่า”

“ไหนแต่ก่อนชอบบอกแบมอ้วน ไม่เอาหรอก เดี๋ยวสายอะไรต่อมิอะไรหลุดจะทำไง โดนดุพอดี”

“ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง แบมแค่อ้วนออกหน้าไง”

“เห็นมั้ย ชอบแกล้งแบมอยู่ได้”

“ไม่แกล้งแล้วๆ มานั่งนี่ก่อนเร็ว มาร์คผอม แบมก็ผอม เตียงตั้งใหญ่”

ผมชะงักกับคำพูดที่ว่าพี่มาร์คผอมลง เขาพูดมันราวกับเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่ดี แต่ประโยคนั้นกลับทำให้ผมใจหายยังไงก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่ามันฟังดูไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมเสียเลย

“แล้วมาร์คผอมลงมันดียังไงฮะ กินเยอะๆเลย จะได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ”

คนป่วยได้แต่ยิ้มและหัวเราะเหมือนโลกทั้งใบยังคงสดใสเหมือนเดิมแบบที่เคยเป็น สดใสเสียจนผมคิดว่าเป็นตัวผมเองเสียอีกที่รู้สึกป่วย

“ก็มานั่งข้างๆก่อนสิ เดี๋ยวกินเลย”

ผมถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของคนอายุมากกว่าตรงหน้าก่อนจะจำใจขึ้นไปนั่งข้างๆอีกฝ่ายตามที่พี่มาร์คขอ มือใหญ่ประสานนิ้วทั้งห้าเข้ากับนิ้วมือของผมอย่างเป็นธรรมชาติ 

ผมเอนศีรษะลงกับบ่ากว้างที่รู้สึกจะแข็งขึ้นเพราะเนื้อและไขมันของเขาหายไปตามน้ำหนักตัว กลิ่นเย็นๆราวน้ำค้างซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพี่มาร์คถูกแทรกซึมด้วยกลิ่นของโรงพยาบาล

ผมซบบ่าเขาอยู่แบบนั้นจนรู้สึกว่าตนเองเสียอีกที่อ่อนล้ากว่าผู้ป่วยข้างๆมากมาย
“นี่” ส่งเสียงเบาเรียกออกไปโดยที่จริงๆแล้วในหัวก็ไม่ได้อยากจะมีคำเอ่ย

“ว่าไงหืม”

“สัญญาหน่อยสิ”

ปกติผมไม่ชอบการให้คำมั่นสัญญาเอาเสียเลย ผมคิดว่ามันดูหลอกลวงที่จะพูดอะไรไปก่อนโดยไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่

“สัญญาว่า?”

“จะอยู่กันอีกนานๆ”

“ไม่คิดมากนะเด็กน้อย”

ผมขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
แค่ครั้งนี้ที่ต้องการคำมั่นสัญญาจากคนๆนี้

พี่มาร์คยิ้มขณะลูบหัวผมอย่างเบามือ
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้อุ่นวาบไปทั้งใจ
สัมผัสแผ่วเบานี่ช่างอบอุ่นและสบายใจ

ทั้งหมดที่ฝ่ายนั้นถ่ายทอดออกมาทำให้ผมลืมทุกอย่าง
คิดแค่เพียงว่าอยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ


I can’t imagine how one day
All this would become another picture in the frame
Another memory full of joy and pain
Another cry when it rains


ลืมแม้กระทั่งจะฉุกคิดขึ้นว่าคำสัญญานั้นไม่ถูกตอบรับจากคนตรงหน้า




กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลยังคงเป็นกลิ่นที่ไม่คุ้นชินสำหรับผม มันให้ความรู้สึกสะอาดก็จริงแต่มันก็ทำให้นึกถึงการสูญเสียเช่นเดียวกัน

ผมเกลียดการสูญเสีย
คงเพราะกลัวเกินกว่าที่จะเสียใครไป


เคยมีคนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของผม 
จำได้ว่าพอฟังจบเขาจับมือผมไปกุมไว้แล้วยิ้มกว้าง
ขายาวๆพาผมเดินไปอีกทาง เห็นว่าผมอิดออดพี่มาร์คก็กระตุกมือที่จับกันไว้ 
สุดท้ายเลยต้องเดินตามไป


"โรงพยาบาลไม่ได้มีแต่เรื่องน่าหดหู่แบบนั้นซะหน่อย ดูสิ" 

เขาชี้มืออีกข้างไปทางตึกสีขาวอีกตึก อยู่ข้างๆกับตึกผู้ป่วยนอกที่ผมมาทำแผล 
มองตามไปก็เห็นคนเยอะแยะกำลังอุ้มเด็กในห่อผ้านุ่มสีอ่อน

บางคนก็มีญาติพี่น้อง มีสามีอยู่ข้างๆ 
บางคนก็อยู่ตามลำพัง
ทว่าสิ่งที่ทุกคนต่างมีเหมือนกันคือประกายความสุขที่แม้แต่คนนอกอย่างผมยังสัมผัสได้


"เห็นไหม มันไม่มีอะไรแย่ไปซะหมดหรอก"


มันไม่แย่จริงๆ ตราบใดที่คนในชีวิตผมไม่จากไป
โดยเฉพาะเขา



No comments:

Post a Comment