จากเดินเป็นก้าวเร็วขึ้น
จากการก้าวเร็วๆเป็นการวิ่งเร็วขึ้นไปอีก
ผมวิ่ง วิ่ง และวิ่ง
แม้ในมือจะยังถือห่อข้าวกล่องอยู่แต่ผมก็พยายามให้มันสั่นน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อที่กับข้าวข้างในจะไม่เละ
เพื่อไปยังที่ๆมีคนรอผมอยู่
ถ้าเขายังรอผมอยู่...
ผมพาตัวเองมาถึงลิฟต์ชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล ก้าวแล้วก้าวเล่าที่ก้าวเดินบนพื้นสีออฟไวท์มันเงา ผ่านกระจกติดฟิล์มกันแสงทำให้เห็นเงาตัวเองเคลื่อนไหวลางๆ
รู้สึกเหมือนทั้งโลกหยุดหมุน
และมีแค่ผม ที่กำลังวิ่งอยู่
วิ่งจนแทบจะหายใจไม่ออก
แต่ ณ เวลานี้
ลมหายใจเหมือนไม่จำเป็นอีกต่อไป
เลขดิจิตอลสีแดงในลิฟต์แสดงชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผมจ้องมันโดยในใจหวังว่าตัวเลขนั้นจะเปลี่ยนไวขึ้น
ในที่สุดประตูเหล็กสีเงินไร้จิตวิญญาณก็เปิดออก ภาพที่สะท้อนในดวงตาของผมคือพี่แทมมี่ยืนกอดกับไคลี่และเลล่า ป๊าต้วนกุมมือแม่ของพี่มาร์คซึ่งซบไหล่ของเขาอยู่ ใบหน้าของชายวัยกลางคนก้มลงมองพื้น
ตึก
ตึก
ตึก
ตึก
เสียงส้นรองเท้ากระทบกับพื้นเงาดังกังวานท่ามกลางความเงียบที่ปนไปกับเสียงจังหวะหัวใจที่อยากจะเต้นช้าลงกว่านี้แต่เห็นทีจะทำไม่ได้
ผมหยุดยืนหน้าประตูห้องผ่าตัดด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารู้สึกอะไรอยู่ เบื้องหน้าเป็นสีขาวโพลนไปหมด ประตูสะท้อนแสงไฟสว่างจ้าด้านใน
"ทำไข่ยัดไส้ให้กินหน่อย นะๆๆๆ"
เสียงของเขายังคงก้องในหัวของผม
"ก็ได้"
ตอนนั้นผมได้แต่ยิ้ม
ถึงจะกลัวแค่ไหน ผมก็ยิ้ม
อาจเพราะคิดว่าเขาต้องหวั่นใจกว่าผมแน่นอน
"สัญญาแล้วนะ ห้ามลืมล่ะ"
ตาเรียวหยีขึ้นด้วยรอยยิ้มอบอุ่น มือหนาซึ่งซูบผอมลงไปเยอะจับมือของผมไปอิงกับแก้มตอบ
"อื้อ"
คำมั่นสัญญาของผมเอ่ยออกไป
โดยที่ลืมให้เขาพูดประโยคเดียวกัน
"แบมแบม... ไปไหนมาลูก"
เสียงคุณแม่พี่มาร์คดังขึ้นในโสตประสาทของผม รวมทั้งมือเย็นๆของเธอที่ยื่นมาจับแขน
"อ่า..."
ดวงตายังคงจ้องไปที่ประตูบานเดิม เสียงของผมเหมือนไม่สามารถออกมาเป็นประโยคได้หลังจากเห็นน้ำตาของทุกคน
"แบม พี่มาร์คเขา..."
คุณป้าพูดได้เพียงเท่านั้นประโยคก็ถูกตัดไปราวกับลมหายใจไม่เพียงพอ เสียงสะอื้นแทรกขึ้นมาแทนที่พร้อมกับไหล่ของเธอซึ่งห่อลงและร่างทั้งร่างสั่นเทาอีกครั้ง
มาร์ค..
"เขา... กำลังหลับน่ะแบม"
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำว่าหลับแล้วรู้สึกไม่สบาย
ครั้งแรกที่รู้สึกจุกแปลกๆ
ครั้งแรกที่ไม่รู้ตัวจนกว่าข้าวกล่องในมือจะตกพื้น
มือสองข้างเอื้อมไปเก็บฝากล่องสีขุ่นพร้อมกับเข่าซึ่งย่อลงอัตโนมัติ
มือสองข้างของผมสั่นอย่างห้ามไม่ได้
"แล้วข้าวกล่องของแบมล่ะมาร์ค"
ผมพูดกับประตูตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจว่าน้ำตาจะไหลออกมาหรือไม่ ในมือรู้สึกแค่เพียงการมีอยู่ของข้าวกล่องที่ผมตั้งใจกลับบ้านไปทำมา
"มันจะต้องบูดอีกแล้วหรอมาร์ค รอบที่สองแล้วนะ..."
คนบนเตียงนั้นยังคงหายใจอยู่ แต่ด้วยข้อจำกัดของกาลเวลา เขาจะยังหายใจ แค่ในระยะเวลาที่ถูกกำหนดมาแล้วเท่านั้น
ผมเคยได้ยินว่าการยื้ออะไรซักอย่าง ก็ต้องมีสิ่งไปแลก
เหมือนกับซินเดอเรลล่าล่ะมั้งครับ เหมือนการที่ต้องวิ่งหนีตอนเที่ยงคืน
แต่ตรงนี้ตอนนี้ไม่มีรองเท้าแก้ว ถ้าคนตรงหน้าผมหายไป ผมไม่รู้จะไปตามเขาคืนจากที่ไหน ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงจึงจะได้เจอกันอีกครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องอยู่ด้วยความรู้สึกแบบไหน
จริงที่ทุกคนคงต้องทำใจกับการสูญเสีย
ไม่วันนี้ ก็วันหน้า
แต่ถ้าทุกคนเลือกได้...
จะมีใครบ้างที่อยากสูญเสียคนสำคัญ
*
ผมไม่รู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ และไม่ค่อยได้สนใจว่าเวลานี้กี่โมงแล้ว
รู้แค่วันนี้เป็นวันที่สิบสองที่ผมนั่งมองคนขี้เซาบนเตียง
คนขี้เซาที่ไม่ยอมตื่นมาเสียที...
ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากฟุบหน้าลงกับผ้าห่มสีขาวสะอาด ในใจอยากจะร้องไห้อีกครั้งหากแต่ร่างกายเหมือนจะไม่สามารถผลิตน้ำตาออกมาได้มากเกินไปกว่านี้ สมองสั่งการให้ผมเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังท้องฟ้าผ่านหน้าต่างชั่นสูงของโรงแรม
เมื่อไหร่กันนะที่ขอบฟ้าดูโดดเดี่ยวขนาดนี้
แค่เพราะไม่มีบางคน
"แบมออกไปทานข้าวมั้ย เดี๋ยวพี่เฝ้าให้เอง"
เสียงพี่แทมมี่ดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าของหลานๆตามมา ผมยิ้มและผงกหัวให้เธอเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจกับตัวเอง
"สั่งเข้ามาก็ได้ครับ"
พอได้ยินคำตอบคนสูงวัยกว่าก็ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้ามาตีต้นแขนของผม
"ได้ยังไง เราไม่ได้ออกไปไหนมากี่วันแล้วเนี่ย ไปสูดอากาศบ้าง เจอผู้คนบ้างนะ พี่ว่าเราเป็นแบบนี้มาร์คก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ถือว่าทั้งพี่ทั้งมาร์คขอ นะ"
อ่า...
พอขึ้นชื่อว่าพี่มาร์คแล้วผมก็จนปัญญาจะเถียง
"งั้นเดี๋ยวแบมเข้าห้องน้ำแล้วไปครับ"
กวักน้ำเย็นขึ้นล้างหน้าเป็นรอบที่สองของวัน ผมจ้องมองตัวเองในกระจก สีหน้าอิดโรยกับขอบตาคล้ำ พ่วงด้วยแก้มตอบซูบซีดและผิวซึ่งดูขาดน้ำ
ไม่รู้มาก่อนว่าพอไม่มีพี่มาร์คแล้วผมจะพังลงมาอย่างง่ายดายขนาดนี้
ไม่คิดมาก่อนว่าความรักของผมจะมากจนเจ็บปวด
ผมเดินมาที่โรงอาหารชั้นกลางของโรงพยาบาลซึ่งไม่เคยได้มาเพราะปกติจะอาสาอยู่เฝ้าในห้องแทนพี่แทมมี่ที่ต้องรับส่งหลานๆ และพ่อแม่ของพี่มาร์คที่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นบางวัน ส่วนมากเลยสั่งอาหารเข้ามาแทน
ผมหยิบเมนูอาหารตามสั่งขึ้นมาเพียงเพื่อจะพบว่าผมยังคงสามารถร้องไห้กับเรื่องเดิมๆได้ง่ายเหลือเกิน
น้ำตาไหลออกมาไม่มาก แต่ก็พอจะหยดลงบนเมนูอาหาร ผมยกมือขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆและเขียนเมนูอาหารที่ผมอยากทานมากที่สุด
จริงๆคงไม่ใช่ผมหรอก
ไข่ยัดไส้น่ะ
พี่มาร์คต่างหากที่อยากกิน
I would have done anything
And everything
All over again
Just to hear the sound of your voice
Calling my name
ครืด
เสียงสั่นสะเทือนที่ไม่ได้มีมาหลายวันของโทรศัพท์ซึ่งผมเปิดแค่ให้บางคนโทรเข้าได้ดังขึ้น ผมรีบคว้ามาตอนเห็นว่าสายเข้าเรียกจากพี่แทมมี่
"ว่าไงครับ"
ประโยคต่อไปทำให้ช้อนร่วงลงจากมือขวา พร้อมกับโทรศัพท์ในมือซ้ายสั่นๆซึ่งไม่นานก็รู้สึกหมดแรง
'รีบมาเร็วแบม มาร์คฟื้นแล้ว'
*
ไม่มีเสียงทักทายเหมือนครั้งก่อนหน้านี้ ริมฝีปากซีดยกยิ้มบางผ่านเครื่องช่วยหายใจที่ครอบบริเวณนั้นอยู่
ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดี
แต่มือสั่นๆของตัวเองก็ยื่นออกไปจับหน้าซูบซีดของอีกฝ่าย พยายามกลั้นน้ำตากลั้นเสียงสะอื้นเท่าไหร่ความรู้สึกต่างๆก็ยังดื้อรั้นจะกรูกันออกมาเสียให้ได้
"มาร์ค..." ส่งเสียงที่แทบจะขาดหายไปในห้วงอากาศออกเรียกอย่างเว้าวอนชนิดที่ตัวเองยังตกใจ
ร่างสูงส่งสัญญาณให้พยาบาลช่วยถอดเครื่องช่วยหายใจให้เพื่อจะพูดบางอย่าง ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นห้อง ในมือมีฝ่ามือเย็นของอีกฝ่าย
"แบม...มองหน้ามาร์คหน่อยเร็ว"
ผมไม่อยากรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เสียงของเขาขาดหายและแหบขนาดนี้คืออะไร ผมรู้แต่ว่าผมคิดถึงน้ำเสียงสดใสของคนตรงหน้าเหลือเกิน
ผมเงยหน้าตามที่เขาขอ
ณ ตรงนี้ เวลานี้ ไม่มีอะไรที่เขาขอแล้วผมจะไม่ทำให้
รู้สึกถึงแรงบีบน้อยๆที่มือซึ่งกุมกันไว้แล้วขอบตาก็ร้อนผ่าวอีกระลอก เหมือนคลื่นน้ำชายฝั่งที่ซักเข้าหาดทุกวี่ทุกวันอย่างไม่คิดจะเหนื่อย ริมฝีปากบางยังยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นและอ่อนโยนแม้จะดูอ่อนแรงกว่าเดิมมากก็ตาม
"หายไวๆสิมาร์ค ทุกคนรออยู่เห็นมั้ย"
ผมยิ้มเท่าที่ยิ้มได้ ทำตัวปกติเท่าที่ทำได้ แต่เหมือนทุกอย่างจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยเสียเท่าไหร่ เสียงที่เอ่ยประโยคปกติกลับสั่นไหวอย่างไม่ปกติเอาเสียเลย
แต่ถึงอย่างนั้นพี่มาร์คก็ยังยิ้ม
"สัญญาอะไรกับมาร์คหน่อยนะ ทุกคนด้วย..."
พี่แทมมี่ คุณพ่อ และคุณแม่ของมาร์คเข้ามาล้อมเตียงใกล้ขึ้นทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของคนป่วย
"ถ้าถึงเวลาจริงๆ ไม่ต้องพยายามกันแล้วนะ"
หัวใจเหมือนแก้วที่หล่นแตกละเอียดทันทีที่เสียงเข้ามาก้องอยู่ในหัว เขาเหมือนกำลังขอทุกสิ่งที่ผมไม่คิดอยากทำได้
"พูดอะไรน่ะมาร์ค อย่าล้อเล่นนะ เดี๋ยวก็หายแล้ว"
ผมหัวเราะแห้งๆด้วยความหวังว่าพี่มาร์คจะหัวเราะตอบและบอกว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องล้อเล่น แต่สิ่งเดียวที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มอันเหนื่อยล้า
"ถ้ามันจำเป็นล่ะก็..."
เสียงพี่แทมมี่ขาดช่วงก่อนเธอจะเดินออกจากห้องไอซียูไปพร้อมกับคุณพ่อและคุณแม่ของพี่มาร์คซึ่งทำได้แค่พยักหน้าน้อยๆเท่านั้น
"ขอโทษนะแบม"
"ไม่เอาสิมาร์ค เขาร้องไห้หมดแล้วเห็นไหม เล่นอะไรบ้าๆ..."
พี่มาร์คไม่ตอบอะไรผมอีก เขาทำเพียงแค่ยิ้มรับภายใต้เครื่องช่วยหายใจที่พยาบาลเดินมาใส่คืนให้ เสียงที่เหลือมีเพียงแค่การสะอื้นไห้ของผมและเสียงอัตราการเต้นของหัวใจจากเครื่องวัด
เป็นครั้งแรกที่เจ็บในหน้าอกจนกลั้นไว้ไม่อยู่
ครั้งแรกที่เผลอสะอื้นดังจนอีกฝ่ายยกมือซูบผอมมาแตะเบาๆบนแก้มที่เปียกไปด้วยน้ำตา
สายตาของพี่มาร์คกำลังบอกให้ผมหยุดร้องไห้เพราะเขา แต่ผมไม่รู้จะทำมันได้ยังไง ในเมื่อผมไม่เคยร้องไห้ขนาดนี้ให้ใคร ถ้าคนนั้นไม่ใช่เขา
You told me all this would go away
But then this is all I have
If I let go, what would I have to guide me home?
พี่มาร์คหลับๆตื่นๆเป็นเวลานาน และในที่สุดตอนนี้การนอนของเขาก็กลับมาเป็นปกติ คนโตกว่าเหมือนจะแข็งแรงขึ้น ทุกอย่างดีขึ้นกว่าตอนที่เขาหลับอยู่มาก ทั้งตัวพี่มาร์คเอง ครอบครัว หลานๆ และรวมทั้งผมด้วย
"ป้อนคนป่วยหน่อยสิคุณพยาบาล"
ร่างสูงเอ่ยขึ้นเมื่อถาดอาหารอ่อนสุดอย่างข้าวต้มเหลวๆมาเสิร์ฟอยู่ด้านหน้า ผมไม่อิดออดเหมือนแต่ก่อน ร่างกายเหมือนเริ่มชินกับการบริการคนป่วยขึ้นทุกวัน
"รีบๆหายแล้วจะได้กินเองซะทีนะรู้มั้ย"
ป้อนไปก็ไม่อยากเงยหน้าสบนัยน์ตาสีเข้มที่สะท้อนเงาของผมในนั้น
"แบบนี้ก็สบายดีออก มาร์คหายแล้วแบมก็จะไม่มาเอาใจแล้ว มาร์ครู้หรอก"
ผมกลัวคำพูดแบบนี้ของพี่มาร์คยิ่งกว่าอะไร ผมกลัวว่าจะต้องนั่งเฝ้าเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้
"หยุดพูดแบบนั้นนะมาร์ค ถ้ามาร์คไม่อยู่..."
"มาร์คล้อเล่นนน แบมอย่าซีเรียสสิ มาร์คยังไม่อยากกินข้าวต้มปรุงรสด้วยน้ำตานะ"
นิ้วเรียวปาดน้ำตาซึ่งผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหยดลงมาบนแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเงยหน้าสบตากับเขาในที่สุด พยายามจะเว้าวอนให้เรายืดเวลาออกไปได้อีกนานๆ ให้เขาหายดีเหมือนปกติ
หรือจริงๆไม่ต้องปกติก็ได้
ผมแค่ขอให้เขาอยู่ตรงนี้
ที่ๆผมสามารถจับต้องได้
No comments:
Post a Comment