Wednesday 7 March 2018

#มบรถไฟ Special | A wish so simple

Special | A wish so simple
#มบรถไฟ 
To listen: พริบตา - Bird Thongchai feat. Stamp

.              ✵  
     *  ✧
 ·        ˚ 
        ·  *   ✧     . 
    ✧ ·  ✦  ✫  ·     ✦   
     ·  ˚ .      *

ผ่านมากี่ปีแล้วนะ
ไม่รู้หรอก
แบมแบมไม่รู้หรอก

ผ่านมานาน นานมากแล้วจริงๆ
เพียงแต่เขายังจำได้…
ยังจำได้ราวทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อวาน



*


วันนี้กรุงโซลคนเยอะอย่างเคย ผมออกมาเพื่อซื้อกาแฟในช่วงพักเที่ยงแถวบริษัทที่ทำงานอยู่ มือกระชับผ้าพันคอให้ปิดจมูกอีกนิดเพื่อลดความทรมานจากอากาศหนาวเหน็บของกลางเดือนธันวาคม

ปลายปีอีกแล้ว เวลาหมุนเร็วเหลือเกิน

“อ้าวแบม”

“อ้าว สวัสดีครับพี่จินยอง”

“จะไปไหนหรอ”

“จะไปซื้อกาแฟร้านตรงสี่แยกน่ะครับ”

“อ๋อ งั้นพี่ไปด้วยสิ เดี๋ยวต้องขึ้นไปประชุม ง่วงจะตายแล้ว”

“ได้สิครับ”

พี่จินยองเป็น creative director ในแมกกาซีนที่ผมทำงานอยู่ เขาค่อนข้างจะยุ่งในเดือนนี้เพราะทุกคนต่างอยากปิดจ็อบสิ้นปีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เอ้อ ได้ข่าวว่าจะมีดาวตกด้วยนะ วันพรุ่งนี้มั้ง”

“หรอครับ”

“ไม่ตื่นเต้นหน่อยหรอ”

พี่เขาพูดพร้อมขำหน่อยๆกับการที่ผมไม่มีปฏิกิริยาอย่างที่ชาวบ้านเขามีกัน 

“ไม่เท่าไหร่ ไม่ค่อยอินน่ะครับ”

“แปลกคน”

“ผมชอบนอนมากกว่า”

“ฮ่าๆ เมคเซนส์นะ”

ผมยิ้มและผงกศีรษะเบาๆเป็นการตอบรับ เป็นความจริงที่ไม่ได้สนใจปรากฏการณ์ดาวตกเป็นพิเศษเฉกเช่นคนอื่น 

เพราะดาวตกทำให้ผมคิดถึงใครบางคน
คิดถึงช่วงเวลาหลายช่วง
และระลึกว่าไม่มีโอกาสย้อนไปวันนั้นได้อีกแล้ว

And so I think of you
As I always do
And that makes me miss you
But there’s nothing I can do



*


ผมนั่งรถไฟใต้ดินกลับบ้านในเวลาที่ช้ากว่าเวลาเลิกงานปกติพักใหญ่ๆ เพราะงานแน่นจนต้องอยู่เคลียร์ ชีวิตมนุษย์เงินเดือนมันก็แบบนี้ละเนอะครับ


‘นักดาราศาสตร์ได้คาดการณ์ว่าจะสามารถสังเกตมองเห็นฝนดาวตกได้มากถึง 60 ดวงต่อชั่วโมง หลังจากช่วงเวลา 20.30 น.เป็นต้นไป ในวันที่ 16 ธันวาคมนี’

อ่า.. ข่าวดาวตกอีกแล้ว
นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้เห็น
ไม่เห็นหรอก… ถึงแม้จะเกิดขึ้นทุกปีก็คงไม่เห็นหรอก

They tell you to make a wish when a star falls
But they didn’t tell you what to do when the sky falls; when your whole world disappears

So you just keep wandering

What should I do
How should I feel

You ask yourself but you are already facing sorrow
You question the world but you are already crying
You know life is something borrowed
But you never knew loss could be so blue


ผมพาสารร่างของตนเองมาถึงบ้านจนได้ ขาสองข้างก้าวตรงไปยังลิฟต์ของคอนโดและขึ้นไปยังห้องเดิมที่คุ้นเคย
ผมวางของไว้ที่ห้องรับแขกก่อนจะมุ่งไปที่ระเบียงเพื่อหวังสูดอากาศเข้าปอดอย่างที่ทำทุกวัน

บุหรี่มวนเล็กถูกจุดขึ้นเหมือนเคย
จำไม่ได้ว่าเริ่มสูบเมื่อไหร่ แต่ไม่เคยสูบเกินวันละมวน

ความเงียบเข้าปกคลุมเฉกเช่นคืนทั่วๆไป ผมเงยหน้าพ่นควันสีเทาอ่อนออกจากปาก ควันบุหรี่ปะปนไปกับไอจากความหนาวเย็น ดวงตาพลันไปสบกับแสงสว่างของดาวเหนือผู้ไม่เคยหายไปไหนแม้แต่คืนเดียว


‘เนี่ย ดาวกลุ่มตรงฝั่งนู้นเรียกว่ากลุ่มดาวลูกไก่นะ’
‘อันนี้หรอ’
‘No no. These ones. Those are the scorpions’
‘น่ารักดีอะ เหมือนลูกไก่เดินตามแม่’
‘เนอะ มาร์คก็ชอบ’ 


อ่า…คิดถึงมาร์คจัง…

น้ำตาไหลผ่านแก้มก่อนที่ผมจะรู้ตัวและห้ามทัน
ยิ่งใช้มือเช็ดเท่าไหร่มันก็ยิ่งพรั่งพรูขึ้นเรื่อยๆ ผมบอกตัวเองว่าวันนี้จะเป็นข้อยกเว้น
‘วันนี้ร้องไห้ได้’ ผมบอกตัวเองแบบนั้น

ผมเข้าใจว่ามันผ่านมานาน นานมากแล้ว
เป็นเวลากว่าห้าปีที่พี่มาร์คได้จากไป
ผมยังคงขีดฆ่าปฏิทินเช่นทุกวัน รอให้จำนวนวันที่ต้องโดนปากกาสีแดงทำเครื่องหมายกากบาทนั้นลดน้อยลง

แต่ไม่ใช่เลย
ผมยังคงคิดว่าเขาไม่กลับมานานเกินไป

จำนวนวันและเวลาไม่เคยลดน้อยลง
จำนวนวินาทีที่ผมคิดถึงเขาไม่เคย.. 
ไม่เคยเป็นความรักที่ลดน้อยลงเลยจริงๆ

ผมยังจำได้ทุกสัมผัส
อ้อมกอดอันอบอุ่น
รอยจูบอันหวานซึ้ง
แม้แต่มืออันเย็นเฉียบในวันสุดท้ายของลมหายใจ

ผมยังจำได้ทุกความรู้สึก
ทุกครั้งที่ทะเลาะ
ทุกครั้งที่หัวเราะ
ทุกความสุข ทุกความทุกข์
แม้แต่ความเจ็บปวดในวันที่เขาจากไป

จริงอยู่ที่ผมใช้ชีวิตอย่างปกติในทุกๆวัน แต่จะมีบางวันเช่นวันนี้ที่ผมถามฟ้าถามจันทร์ถามดวงดาวถามตัวเองว่าผมควรจะทำอย่างไร

จะทำยังไงให้มาร์คกลับมา
ทำอย่างไรให้ฟ้าคืนเขาให้กับผม

What am I supposed to do on this one day
This one day when you hear about a falling star
And you look up to the sky
Everyone is closing their eyes
But yours are wide open

Since there is nothing left to wish for. 

ใช่ คุณอาจคิดว่ามันเกินจริง
ผมเองก็ยังคิดว่ามันตลก การที่เราไม่สามารถลืมเรื่องใครสักคนได้แม้แต่เศษเสี้ยวของความทรงจำนั้นตลก
ตลกและเศร้า

ถึงแบบนั้นผมก็ยังเลือกจะจำ…
ถ้าจำจนกว่าจะลืมนั้นเกิดขึ้นได้ผมคงไม่ทำ
เพราะผมไม่มีเจตนาที่จะลืมเขา
ไม่เลย...
ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว

ทุกครั้งที่มีฝนดาวตก ทุกครั้งที่ทุกคนพูดถึงการอธิษฐานขอพรจากดาวฤกษ์ดวงน้อยที่ตกลงผ่านชั้นบรรยากาศ

ทุกครั้งผมจึงลืมตา

ในขณะที่ทุกคนหลับตาและภาวนาให้ความหวังเป็นจริง
ผมจ้องไปที่ความเคลื่อนไหวเร็วๆนั่น จ้องไปที่ความสวยงามของดาวตกและท้องฟ้าสีเข้ม

เพราะผมไม่มีคำอธิษฐานที่สามารถเป็นจริงได้
ฉะนั้นผมจึงลืมตา

เพราะตั้งแต่วันที่พี่มาร์คจากไป ผมไม่มีอะไรจะขอ
ฉะนั้นผมจึงลืมตา

เพราะตั้งแต่วันที่ดูดาวด้วยกันวันนั้น ดาวไม่สามารถทำให้เขาอยู่กับผมได้
ฉะนั้นผมจึงลืมตา

เพราะตั้งแต่วันที่เขาหยุดหายใจ
ดวงดาวอีกกี่ร้อยพันดวงก็ไม่สำคัญ
ถึงจะมีฝนดาวตกนับร้อยดวงในคืนนี้
...นั่นไม่สำคัญอีกต่อไป

‘ในเมื่อดาวทุกดวงได้ดับไป
ตั้งแต่วันที่เขาไม่กลับมา’



*



Dear falling star,

I’ve got a wish. 
A wish so simple. 
To bring him back, to not make this so difficult

But to bring him back, the star replies,
Is impossible. 

.              ✵  
     *  ✧
 ·        ˚ 
        ·  *   ✧     . 
    ✧ ·  ✦  ✫  ·     ✦   
     ·  ˚ .      *




Sunday 8 November 2015

#มบรถไฟ 05 [outro]




Hello from the other side
At least I can say that I’ve tried
To tell you I'm sorry
For breaking your heart…



ผมนั่งคิดอยู่นานมากระหว่างรอแบมแบมกลับห้อง คิดแล้วคิดอีก แต่ก็คิดไม่ตกเสียทีว่าจะเอ่ยคำพูดมากมายในหัวนี้ออกไปได้อย่างไร ในประโยคแบบไหน

ผมแค่คิดว่าถ้าผมเป็นแบมแบม ผมคงไม่อยากฟัง
แต่ผมก็จำเป็นจะต้องบอกลา


ผมพยายามอย่างมากที่จะไม่เผลอหลับระหว่างรอ อีกทั้งยังพยายามอย่างมากที่จะฝืนตาให้โฟกัสถูกจุดเมื่อเขามาถึง ในเมื่อทุกอย่างในตัวผมนั้นแพ้ให้กับกาลเวลาและโรคภัย แพ้แม้ใจจะยังไม่อยากจากไปก็ตาม


ปาฏิหารย์ไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนหรอกครับ
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ผมกับแบมแบม



“ขอบคุณนะสำหรับทุกอย่าง”

ผมว่าก่อนจะไล้มือไปบนพวงแก้มที่เคยมีเนื้อและสีสันเลือดฝาดมากกว่านี้หลายเท่า 

บางครั้งก็คิดโกรธตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรให้มันดีขึ้นมาได้ โกรธที่มันเป็นตัวผมที่ทำให้คนที่รักเป็นแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผมทำ แต่เป็นตัวผม ร่างกาย ซึ่งผมควบคุมไม่ได้แม้แต่นิดเดียว


“แบมยินดีนะมาร์ค รู้ใช่มั้ยว่ายินดีทุกอย่าง”

ไม่มีเสียงสะอื้นจากคนตรงหน้าแต่ดวงตาใสนั้นหม่นหมองและเต็มไปด้วยหยาดน้ำ ผมกระชับอ้อมกอดขึ้นอีกนิดด้วยแรงทั้งหมดที่มี 

ถึงนั่นจะทำให้รู้สึกปวดไปทั้งตัว
แต่อย่างน้อยหัวใจก็ยังอุ่น


“ขอโทษอีกครั้งนะ…”

ผมกลั้นน้ำตาและฝืนให้มันไหลกลับเข้าไป อย่างน้อยเวลานี้สิ่งที่ทำได้ก็คือเข้มแข็ง


ผมแค่อยากจะเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแกร่งให้คนที่ผมรักมาก อย่างน้อยก็ในคืนนี้

อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่ลมหายใจยังไม่หมดสิ้นไป


“ขอมือหน่อย”

ยิ้มให้กับคนขี้แยในอ้อมกอดก่อนจะส่งมือเย็นซีดให้อีกฝ่ายโดยพยายามไม่ให้สั่นมากเกินไป

ผมจับมือแบมแบมไว้แน่นเท่าที่ทำได้ แต่เท่าที่ทำได้เห็นทีจะเป็นเพียงแรงกำหลวมๆของคนทั่วไป

ไม่เป็นไร อย่างน้อยผมและเขาก็รู้ว่าเราจับมือกันแน่น


“ขอโทษที่ทำให้ต้องร้องไห้บ่อยๆนะ ขอโทษที่ทำให้แบมต้องแกล้งเข้มแข็งบ่อยๆด้วย… แล้วก็… ขอโทษที่ทำให้ต้องรักษาสัญญาที่ทำร้ายตัวแบมเอง”

ผมกลืนน้ำลายฝืดๆลงคอ เสียงเหมือนแทบจะหายไปกับท้องฟ้าและหมู่ดาว
แบมแบมไม่พูดอะไร เพียงแค่ซุกใบหน้าเข้าหาอกของผมและร้องไห้อีกครั้ง


“ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่ยอมทำตามที่มาร์คขอ”


ขอบคุณที่รักกันมากขนาดนี้


“...มาร์ค”

เสียงแหบหวานเอ่ยขึ้นพร้อมประสานนิ้วมือเข้ากับมือของผมอย่างเชื่องช้าและไร้เรี่ยวแรง


“หืม”


“เราจะได้เจอกันอีกมั้ย”


ผมยิ้มให้กับคำถามนั้น
แน่นอนเราไม่มีวันรู้ว่าชาติหน้ามีจริงหรือไม่
แต่ผมยังอยากจะเจอเขาในทุกชีวิตที่มี


“คงมีซักวัน”


ถ้าซักวันกลับมาเจอกันอีก
ผมคิดว่าคนที่ผมอยากจะรัก
ก็คงมีเพียงแค่แบมแบม

ผมแค่อยากจะรักเขาเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้
แค่อยากจะรักเขาให้มากและทดแทนเวลาที่เสียไป




แค่นั้นจริงๆ

#มบรถไฟ 04



วันแต่ละวันหมุนผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ช้าและไร้ชีวิต

ร่างเล็กบิดกุญแจประตูโลหะเย็นเยียบของคอนโดมิเนียมที่อาศัยอยู่ก่อนจะออกแรงผลักเข้าไป
จากนั้นก็สลัดรองเท้าผ้าใบที่ใส่มาทั้งวันอย่างไม่ใส่ใจนัก

อันที่จริงผมไม่อยากจะใส่ใจอะไรทั้งนั้น
การที่ต้องอยู่คนเดียวในห้องที่เคยมีเราอยู่ด้วยกันมันก็เป็นช่วงเวลาที่วูบโหวงเกินไปจนน่ากลัว


“ไงคนเก่ง”

แบมแบมเบิกตากว้างขณะที่หันไปมองทางต้นเสียงอย่างไม่เชื่อสายตา
ร่างของพี่มาร์คกำลังกึ่งนอนกึ่งนั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดของพวกเรา
รอยยิ้มกว้างที่ส่งมาเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้ผมเดินจนแทบจะเป็นวิ่งเพื่อเข้าไปหาร่างนั้น 

ผมโถมทั้งร่างเข้าใส่อ้อมกอดของคนแก่กว่าที่อ้าแขนรอ สัมผัสเบาๆบนเส้นผมยิ่งทำให้รู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา


ผมคิดถึงพี่มาร์ค
คิดถึงมากจนไม่รู้จะทำยังไง


“ไม่เอาไม่ร้องนะ” 

เสียงทุ้มเอ่ยเบาๆพร้อมกับสัมผัสอบอุ่น
ผมไม่ตอบอะไรกลับไปเพราะขอบตาเริ่มร้อนผ่าวขึ้นทุกที 
เลยได้แต่หลับตาเอาหูแนบกับแผ่นอกกว้างที่ซูบผอมลงไปบ้าง
ตั้งใจฟังเสียงก้อนเนื้อที่มีหน้าที่สูบฉีดเลือดเต้นอยู่ตรงอกซ้าย

สัญญาณที่ยืนยันกับผมว่าพี่มาร์คอยู่ตรงนี่กับผมจริงๆ ไม่ใช่ภาพจิตนาการที่ถูกสร้างขึ้นมา

“เป็นเด็กขี้แยอีกแล้ว”

พี่มาร์คเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะขณะใช้ปลายนิ้วเขี่ยข้างแก้มผมเบาๆ
ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตาทั้งหมดไหลออกมาตอนไหน

“อย่ามาล้อนะ”

แบมแบมซุกหน้าลงกับอกของคนแก่กว่าที่นอนราบลงไปบนโซฟา มือเล็กกำชายเสื้อมาร์คแน่นจนมันยับย่นไปตามแรง
ร่างเล็กกว่าขดอยู่บนตัวของคนรักเหมือนเป็นลูกแมวตัวน้อยที่พร้อมจะกางกรงเล็บข่วนเอาได้ง่ายๆถ้าอีกคนจะลุกหนีไปไหน

พี่มาร์คหัวเราะขณะขยับอ้อมแขนให้ผมนอนได้ถนัดขึ้น 
มือหนาลูบไปตามตัวของผมอย่างกะเกณฑ์

“ผอมลงไปหรือเปล่า”

“มาร์คเองก็ผอม…”

ผมกลืนก้อนสะอื้นท้ายเสียงอย่างยากลำบากตอนที่เอ่ยมันออกไป
เราต่างรู้ดีว่าพี่มาร์คเคยตัวใหญ่กว่านี้ 
เคยมีกล้ามมากกว่านี้

แต่ช่างมันเถอะ

เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ยังเป็นคนที่ผมรักคนเดิมอยู่ดี

“ไม่เหมือนกันสิ แบมจะอายุ 24 แล้ว ตัวแค่นี้ไม่ได้นะ”

ผมเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาบนผนังอย่างตกใจ
ลืมไปเสียสนิทเลยว่าพรุ่งนี้ ไม่สิ อีกเพียงแค่สี่ชั่วโมงก็จะเป็นวันเกิดของผมแล้ว

“มาร์คมาตั้งแต่กี่โมง”

เสียงหวานละล่ำละลักถาม นึกโกรธตัวเองที่ไม่ยอมกลับห้องเพราะกลัวว่าความเงียบเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวจะกัดกร่อนใจจนทนไม่ไหว

มัวแต่กังวลเรื่องอาการป่วยของอีกคนที่ออกจากโรงพยาบาลเมื่อสี่วันก่อนและเดินทางไปหาพ่อแม่จนไม่ได้ฉุกคิดเลยว่ามาร์คไม่เคยผิดสัญญาที่จะต้องมานั่งนับถอยหลังเข้าสู่วันเกิดของเราทั้งคู่ด้วยกัน

ในวันที่ 2 พฤษภาคม
ในวันที่ 4 กันยายน


และวันนี้เป็นวันที่ 1 พฤษภาคม


“โกรธหรือเปล่าที่มาร์คไม่มีของขวัญมาให้แถมมาอวยพรก่อนตั้งวันหนึ่ง ก็แค่กลัวจะไม่มีเวลาแล้ว…”

พี่มาร์คไม่ตอบคำถามของผม มีเพียงเสียงพูดเรียบเรื่อยที่เอ่ยออกมา
เอ่ยออกมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกำลังบอกเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ

คำพูดที่ราวกับว่าอีกฝ่ายพร้อมจะจากไปง่ายๆตอนไหนก็ได้


I'm missing you
I'm missing you like crazy


ผมกดจูบบนริมฝีปากนั้นเบาๆไม่มีการล้วงล้ำ
รสจูบที่ฝาดเฝื่อนไปด้วยหยดน้ำตาทว่าหวานลึกถึงข้างใน ความโหยหาที่ทรมานนั้นน่ากลัวแค่ไหนนั้นผมไม่อยากรับรู้

ไม่อยากฟัง 
ก็แค่ไม่อยากได้ยิน

ตอนนี่พี่มาร์คยังอยู่กับผมไม่ใช่หรือไง


“เอาแต่ใจ” 

มือหนาเอื้อมมาบิดจมูกผมเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว 
พี่มาร์คขยับตัวเบาๆและนั่นทำให้ผมลุกขึ้นมานั่ง

ร่างสูงลุกจากโซฟาก่อนจะเดินด้วยท่าทีที่ไม่มั่นคงนักไปที่ระเบียงก่อนจะดึงผ้าม่านและเปิดประตูระเบียงออก

พี่มาร์คก้าวออกไปยืนข้างนอก เท้าแขนกับระเบียงก่อนจะเอ่ยเรียกผม

“ออกมานับดาวกันไหมแบมแบม”




--

มีคนเคยพูดเอาไว้ว่าเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ












ตี๊ด-----------



โชคชะตาเหมือนเกลียดชังพวกเรา เพราะเสียงนิ่งลากยาวบ่งบอกการหยุดเต้นของหัวใจ คือเสียงสุดท้ายของวันเกิดที่ผมได้ยิน


"มาร์ค!!"


ปัง!


แพทย์และพยาบาลสามสี่คนกรูกันเข้ามา จับตัวพี่มาร์คขึ้นเตียงและเข็นออกไปที่ห้องฉุกเฉิน 
ขาสองข้างของผมออกวิ่งขนาบข้างเตียงเข็นโดยอัตโนมัติ มือเย็นและสั่นพยายามยื่นออกไปเขย่าตัวคนที่นอนแน่นิ่งไร้การตอบรับ


"มาร์ค! อย่าเป็นแบบนี้สิ...ฮึก.. ลืมตาเดี๋ยวนี้นะมาร์ค! แบมขอร้อง มาร์ค... อย่าไปนะมาร์ค..."

จากที่ออกคำสั่งตอนต้นประโยคพร้อมเตียงซึ่งเข็นเข้าประตูห้องฉุกเฉิน กลายเป็นเสียงเบาและลมหายใจอ่อนแรง ร่างกายพลันล้าไปหมด เข่าทรุดลงนั่งบนเก้าอี้พลาสติกข้างห้องที่อีกฝ่ายถูกนำเข้าไป


ทำไมนะทำไม...


แค่ให้ผมดูแลพี่มาร์คในโรงพยาบาลต่อไปเรื่อยๆ
แค่ให้ผมได้มองหน้าเขาอีกหน่อย
แค่ให้เราได้จับมือกันต่ออีกนิด


แค่นี้ก็ไม่ได้หรอมาร์ค... นี่มันเป็นวันเกิดของแบมนะ



They say time flies
I'd say they are wrong
Because the clock doesn't tick
When I'm so stuck with you



การจากกันดูจะกระทันหันเกินไปสำหรับผม
ถึงครอบครัวของพี่มาร์คดูจะเข้าใจเหตุการณ์และพยายามยอมรับให้ได้แต่ผมก็ยังคิดว่ามันโหดร้ายอยู่ดี

เพราะเขาไม่ได้สิ้นลมหายใจ
พี่มาร์คยังคงนอนอยู่ในห้องนั้น
แต่เขาจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีก


แค่ผมจะไม่มีวันได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มอันคุ้นเคยคู่นั้นอีกแล้ว
แค่รอยยิ้มบนปากซีดนั่นจะไม่มีอีกต่อไป
แค่ผมจะไม่ได้คุย แหย่ หรือแม้แต่ทะเลาะกับเขา


พอใช้คำว่า 'แค่' แล้วมันควรจะรู้สึกน้อยนิดไม่ใช่หรือไง... แล้วทำไมมันถึงได้เจ็บขนาดนี้กันนะ..



และ ‘แค่’ สุดท้าย..
แค่ต้องรักษาสัญญา



‘ถ้าถึงเวลา ก็ไม่ต้องพยายามกันแล้วนะ..’



สัญญาที่ไม่เคยอยากจะให้คำมั่นสัญญา




*



Can I lay by your side
Next to you
I’ll take care of you
I don’t want to be here
If I can’t be with you…




พี่มาร์คจับมือผมวาดไปตามร่องรอยของแสงดวงเล็กที่พร่างพราวอยู่บนท้องฟ้า เสียงกระซิบเบาๆที่ข้างหูคอยบอกถึงจำนวนของดวงดาวที่เรากำลังนับอยู่
ถึงแม้ดวงดาวท้องฟ้าในเมืองที่ไม่เคยหลับไหลจะเปล่งแสงอย่างอ่อนแรงอย่างมิอาจสู้กับแสงที่มนุษย์สร้างขึ้นแต่ก็ยังสามารถมองเห็นได้

ผมไม่กล้าแม้แต่จะหลับตา
ความกลัวเกาะกุมหัวใจไปหมด ไม่มีสมาธิที่จะนับเลขจำนวนนั้นตามไปด้วย

“ถึงไหนแล้วนะ”

ผมตื่นออกจากภวังค์ของตัวเองตอนนั้น
ซึ่งดูเหมือนพี่มาร์คเองจะรู้เหมือนกันว่าผมเองไม่มีสมาธินัก


“มาร์คว่าวันนี้จะมีดาวตกไหม”

ผมเอ่ยแทรก และนั่นทำให้พี่มาร์คลดมือของพวกเราลง เปลี่ยนเป็นกุมไว้หลวมๆแทน

“ไม่รู้สิ แต่ถ้าได้เห็นอีกซักครั้งก็คงจะดีเหมือนกัน”

ปากอิ่มเม้มแน่นทันทีที่คนตรงหน้าเอ่ยจบ

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้า

ฝนดาวตกที่เราไม่เคยจำชื่อได้มักจะเกิดในช่วงเดือนเกิดของผม 
ทุกครั้งมันจะมาหลังจากที่ผ่านไปสองถึงสามวัน บางครั้งก็กินเวลาหลังจากนั้นเป็นสัปดาห์

แต่แค่ปีนี้ แค่ปีนี้ได้ไหมที่ผมอยากจะให้มันมาในวันนี้
วันเกิดของผม
วันเกิดที่สำคัญกว่าทุกครั้งในปีไหนๆ

“แบมอยากขอพร”

พี่มาร์คลูบหัวผมอย่างแผ่วเบา 
เขาไม่ถามต่อว่าคำอธิฐานที่ผมอยากจะขอคืออะไร

เพราะเราต่างรู้ดีว่าคำขอที่ว่าอยากให้เรายังอยู่ด้วยกันแบบนี้ในทุกวันที่ตื่นขึ้นมาช่างเป็นคำขอที่เป็นไปได้ยากเหลือเกิน

เรารอกันเงียบๆ
และสุดท้ายก็ไม่มีดาวดวงไหนแม้แต่ดวงเดียวที่ตกลงมาในคำคืนนี้

พระเจ้าช่างใจร้ายกับเราเหลือเกิน

คนตัวสูงกว่าจับมือผมวาดขึ้นไปบนอากาศอีกครั้ง
คราวนี้ผมช่วยนับมันอย่างตั้งใจ


พี่มาร์คเริ่มนับต่อที่ปีเกิดของตัวเองก่อนหยุดนับไว้ตรงนั้นที่ปีเกิดของผม ร่างสูงหลับตาแน่นก่อนจะค่อยลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ริมฝีบางเผยรอยยิ้มซีดเซียวทว่าแววตานั้นกลับอบอุ่นจนผมอยากจะร้องไห้ออกมา

“มาร์คมองไม่ค่อยเห็นแล้ว ขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไรมาร์ค ไม่เป็นไร”

ผมกระซิบกลับไปอย่างแผ่วเบาขณะบีบมือที่กุมกันอยู่เบาๆ



อาการปวดหัวและสายตาที่มองไม่ชัดของคนไข้เป็นผลมาจากเนื้องอกในสมอง ผลจากแลปพบว่าคนไข้เป็นเนื้องอกชนิดที่เรียกว่ามะเร็ง เราสามารถเลือกการรักษาด้วยการผ่าตัดได้แต่เพราะมะเร็งได้ลุกลามไปถึงขั้นที่สามแล้ว คนไข้และญาติพร้อมที่จะเสี่ยงไหมครับ

เราไม่สามารถเอาก้อนมะเร็งออกได้ทั้งหมดเพราะจุดนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก เราเกรงว่าการผ่าตัดจะยิ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตมากกว่า

ร่างกายของคนไข้ไม่ตอบสนองต่อการทำคีโม

ตอนนี้การรักษาทำได้เพียงเป็นการประคองอาการไม่ให้ผู้ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานมาก หมอเสียใจด้วยนะครับ



“แบม แบมแบม”

ผมสะดุ้งกับเสียงเรียกของคนตรงหน้า
ก่อนจะใช้ข้อมือปาดน้ำตาของตัวเองที่ไม่รู้ว่าไหลออกมาตอนไหนลวกๆ 

“ร้องไห้อีกแล้ว วันนี้ขี้แยจังเลย”

พี่มาร์ครวบผมไปกอดไว้ทั้งตัวจนจมลงไปในแผ่นอกกว้างจากนั้นก็โยกตัวเบาๆ 

ลมอ่อนๆพัดผ่านร่างของเราท่ามกลางความเงียบ

“ขอโทษนะ”

เสียงนั้นดังขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ

“มาร์คทำให้วันนี้กลายเป็นวันที่มีความทรงจำแย่ๆไปซะแล้ว ทั้งที่เป็นวันเกิดของแบมแท้ๆ ถ้าเป็นไปได้แบมจะลืมวันนี้ไปก็ได้นะ”

ผมแนบใบหน้าลงกับไออุ่นที่มีเพียงผ้าไม่หนานักกั้นขวางไว้
กระชับกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น

“ไม่เห็นต้องขอโทษอะไรเลย
การได้รักกับมาร์คเป็นหนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดของแบม
จะไม่ลืมหรอก 

ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ลืม”


…ไม่มีทางลืมได้อยู่แล้ว






**





2 ปีต่อมา


ยี่สิบสี่เดือนเต็มหมุนวนผ่านไปตามปฏิทินและกฎเกณฑ์อันแข็งแกร่งของเวลา ทุกคนรวมทั้งผมกลับมามีจังหวะชีวิตที่ปกติแบบเดิม 


อย่างน้อยผมก็คิดว่ามันปกติ


แปลกดีเหมือนกันที่ทุกคนเอาแต่กันผมออก 
มัวแต่นึกว่าต้องปกป้องความรู้สึกของผม
แต่ทว่าผมกลับเป็นคนที่มีสติที่สุดในช่วงเวลานั้น 
หลังจากงานศพอย่างเรียบง่ายที่สุสานใกล้บ้านที่ครอบครัวพี่มาร์คอาศัยอยู่เสร็จสิ้นลงจนกระทั่งผ่านไปจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ร้องไห้อีกเลยซักครั้ง


มีหลายคนแวะเวียนมาถามข่าวคราว น้ำเสียงและสายตาที่ห่วงใยที่ส่งมาด้วยความจริงใจนั้นทำให้รู้สึกซาบซึ้งทุกครั้งที่ได้รับ
ได้แต่พร่ำบอกผู้คนเหล่านั้นซ้ำๆว่าไม่เป็นไร 
ผมอยู่ได้สบายมาก ทว่ากลับไม่มีใครเชื่อนัก

หลังจากวันนั้นไม่นานพี่ชายที่รักอิสระของผมก็ขอมาอยู่ด้วยที่คอนโดเพราะอยากพักผ่อนเงียบๆหลายเดือน
ผมไม่ได้ปฏิเสธคำขอนั้นทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าที่ฝ่ายนั้นมาก็เป็นแค่ข้ออ้างที่จะมาเฝ้าผมไว้ไม่ให้เศร้า คิดสั้นหรืออะไรก็ตามแต่ 

ผมรู้ว่าคนส่วนใหญ่ค่อนข้างแปลกใจที่ยังเห็นผมไปไหนมาไหนเหมือนปกติ 
ยังออกไปข้างนอก ไปห้าง ไปร้านอาหารเมื่อก่อนทุกอย่าง
ยังอยู่ห้องเดิมที่เคยอยู่ ของทุกชิ้นก็ยังวางอยู่ตรงที่เดิมที่มันเคยอยู่


ผมไม่ได้ยึดติดหรือฝืนทำตัวร่าเริง 
อันที่จริงผมเองก็สงสัยว่าทำไมจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ร้องไห้แม้ซักครั้ง



ครืด ครืด

อุปกรณ์สื่อสารเครื่องเดิมสั่นบนโต๊ะอาหารของห้องส่วนตัวที่สมัยตอนที่มีพี่มาร์คอยู่แทบจะเป็นห้องร้างเพราะผมย้ายไปอยู่กับฝ่ายนั้น
หน้าจอสว่างวาบขึ้นมาเป็นรูปเดียวกับที่เคยตั้งเมื่อสามปีก่อน

รูปหัวเข่าชนกันมันคงดูไร้ความโรแมนติกและไร้จุดประสงค์สำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับผมมันทำให้ใจยังอุ่นเมื่อคิดถึงเขาคนนั้น

คนที่จากไปแบบไม่มีวันกลับมา


"ฮัลโหลครับ"

กรอกเสียงให้ปลายสายได้ยินหลังจากดูชื่อแล้วคุ้นเคยเป็นอย่างดี


[เป็นยังไงบ้างแบม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะลูก]

หลังจากที่พี่มาร์คจากไป ผมก็ไม่ค่อยได้แวะเวียนไปหาบ้านของเขาอย่างเคย ไม่รู้สิครับ เราต่างคนก็ต่างพยายามจะใช้ชีวิตราวกับไม่เคยสูญเสียใครไป ผมเองก็มีวิธีของผมซึ่งมันดูจะได้ผลและทำให้ก้าวเดินต่อได้อย่างทุกวันนี้


"สบายดีครับคุณป้า ว่าแต่มีอะไรให้ช่วยรึเปล่าครับ"


[เรียกแม่อย่างเดิมเถอะลูก พอดีจะเข้าไปเคลียร์ของในคอนโดมาร์คน่ะ แบมอยากไปด้วยไหม]

ใจสะดุดกับชื่อของพี่มาร์คเช่นเคยแต่ไม่เท่าแต่ก่อนอีกแล้ว ผมคิดว่าผมทำใจได้แล้ว และเขาก็อยู่ในที่ๆปลอดภัยในใจของพวกเราอีกด้วย


"ได้ครับ เดี๋ยวแบมออกเลย"


[ได้จ่ะ แล้วเจอกันนะลูก]


วางสายก่อนมือจะเลื่อนขึ้นมาคลำหาแหวนเงินเรียบๆที่ร้อยกับสร้อยบนคอไว้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็นแหวนคู่ที่แทบไม่เคยใส่บนนิ้วเพราะกลัวจะหลุดหาย

ของสำคัญอีกชิ้นที่ไม่อยากทำหล่นหายระหว่างทาง



ตลอดเวลาที่อยู่บนแท็กซี่ผมนั่งดูรูปเก่าๆของพวกเราในโทรศัพท์ 
ใช้ปลายนิ้วค่อยแตะไล้ไปตามกรอบหน้าของคนในรูป
คิดถึงเหลือเกิน 
คิดถึงดวงตาที่คอยทอดมองกันด้วยความรัก 
จมูกโด่งที่มักจะฝังอยู่ในพวงแก้มของผม 
ริมฝีปากอุ่นร้อนที่ค่อยกระซิบถ้อยคำหวานหู

คิดถึงทั้งหมดของพี่มาร์ค 
คิดถึงสุดหัวใจ




ผมเดินทางมาเจอกับคุณแม่ของมาร์คที่หน้าตึกคอนโดคุ้นตา สมัยก่อนผมแทบจะย้ายข้าวของมาอยู่กับพี่มาร์คที่นี่เหตุเพราะเจ้าตัวงอแงอยากจะอยู่ด้วยกันและคอนโดผมก็เล็กไปนิดกับการอยู่สองคน

ก็คงจะมีข้าวของเหลืออยู่ในห้องบ้างเพราะผมไม่เคยกลับมาเก็บเอาคืนไป


"เอ้อ วันนี้วันเกิดแบมใช่มั้ยลูก แม่ซื้อเค้กมาฝาก จำได้ว่าเราชอบทาน"

ร่างเล็กเอ่ยกับผมพร้อมยื่นถุงกระดาษสีน้ำตาลอ่อนที่บรรจุกล่องเค้กชิ้นพอดีสำหรับหนึ่งคน


"อ๋า ผมก็ลืมไปเลยครับ แหะๆ"


จริงๆผมเลิกฉลองวันเกิดไปนานแล้ว
เพราะมันเป็นวันที่พี่มาร์คจากไป


ผมมองตัวเลขบนผนังลิฟต์อย่างใจเย็น ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรืออะไร แค่นึกถึงตอนที่ไปผับด้วยกันแล้วพี่มาร์คเมาจนเกือบอ้วกคาลิฟต์ก็อยากจะลอบยิ้มเล็กน้อย

มาถึงทางเดินที่แต่ก่อนจูงมือยื้อแย่งกันไปมา เคยแม้แต่ทะเลาะกันจนข้างห้องเปิดประตูออกมาตำหนิ

ผมไม่เคยคิดจะลืมความทรงจำเก่าๆเหล่านี้ ยังคงเก็บมันไว้เหมือนม้วนฟิล์มที่นำกลับมาล้างเมื่อไหร่ก็ได้รูปแบบเดิม อาจจะเลือนลางสำหรับบางคน แต่สำหรับผมพี่มาร์คจะยังชัดเจนเสมอ



แกร๊ก









ผมพูดใช่ไหมครับว่าผมทำใจได้แล้ว
คิดซะว่ามันคือคำโกหกก็แล้วกัน...











ทันทีผมเห็นบานประตูสีขาวคุ้นตาบานเดิมถูกเปิดออก
ภาพทับซ้อนของเหตุการณ์ทุกอย่างฉายชัดขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ไม่ว่าจะท่านอนกินป๊อบคอร์นบนโซฟาขาก่ายกันดูทีวี เสียงของคนที่โตแต่ตัวเรียกร้องให้ป้อนข้าวหรือแม้กระทั่งสระผมให้ เสียงของผมที่ตะโกนดุพี่มาร์คเวลาลืมปิดทีวี 

ไออุ่นบนไหล่และรอบตัวเมื่ออีกฝ่ายเกยคางโอบกอดมาจากด้านหลัง
หยาดน้ำตาของทุกครั้งที่มีปากเสียง
รสจูบที่ไม่เพียงไม่เคยลืม แต่ตั้งใจจะจดจำ


ทุกการกระทำ
ทุกรายละเอียด
ทุกความทรงจำ


They say that time’s supposed to heal ya
But I ain’t done much really



"ไม่เป็นไรนะแบม ไม่เป็นไร"

ประโยคเดียวกับที่พี่มาร์คเคยพูดกับผมตอนรู้สึกเจ็บใจในผลสอบจนร้องไห้ออกมา ตอนนี้ถูกเอ่ยโดยผู้เป็นแม่ของเขา

อ้อมกอดละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่คิดถึง ไม่ใช่เพราะความเป็นจริงแต่เป็นเพราะจินตนาการ


มีแค่เสียงสะอื้นไห้เสียงเครื่องปรับอากาศและเสียงของฝ่ามือของหญิงสูงวัยซึ่งลูบหลังปลอบผมอยู่

เหมือนยิ่งร้องไห้เสียงของความเศร้ายิ่งดังขึ้น
เหมือนยิ่งคิดว่าเดินต่อได้ ก็ยิ่งรู้ว่าหลอกตัวเอง

"หนูไปรักคนอื่นได้แล้วแบม พี่มาร์คไม่อยู่แล้วนะลูก เขาไปสบายแล้ว พี่เขาทรมานมามาก ร่างกายพี่เขารับไม่ไหวแล้ว หนูไปรักคนอื่นได้แล้วนะครับ แม่เข้าใจ แม่ไม่ว่าหนูหรอก พี่มาร์คเองก็คงเข้าใจ" 

เอ่ยพร้อมกับลูบเส้นผมสีอ่อนของคนรักของลูกชายอย่างแผ่วเบา ทว่าเสียงนั้นเหมือนจะไม่ได้เข้าไปในหัวของคนที่กำลังร่ำร้องอยู่ซักนิด น้ำใสยังหลั่งรินราวกับจะไม่มีวันแห้งเหือดลง



อาจจะไม่มีวันนั้น


ผมแค่ไม่มีแรงจะทำแบบนั้นอีกต่อไป
เมื่อสิ่งของ กลิ่น เสียง สัมผัส ทุกความรู้สึกที่เตือนให้จำว่าผมไม่เคยลืมคนๆนี้ ที่แห่งนี้ ความทรงจำกับทุกสิ่งในนี้และนอกจากนี้ 


ผมเลยไม่มีแรงจะทำเป็นว่าไม่เป็นไรอีกต่อไป




มาร์ค...
คิดถึงแบมบ้างมั้ย.. แบมคิดถึงมาร์คมากเลยรู้รึเปล่า



อยากบอกให้รีบกลับมาไวๆ
อยากจะไปหา
อยากเจอหน้า
อยากสบตา
อยากสวมกอด
อยากทำทุกอย่างที่เคยทำได้

อยากทำแต่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้


ไม่ว่าคิดถึงแค่ไหนก็ไม่มีวันที่จะได้เจอกันอีกแล้ว



แล้วผมก็พบว่าที่ผ่านมาผมไม่เคยทำใจกับการจากไปของพี่มาร์คได้เลย





*



ผมยังคงนั่งอยู่บนรถไฟเที่ยวเดิมที่เคยนั่งมาด้วยกัน ยังคงจำเลขที่นั่งของเบาะในวันนั้นได้ ยังคงเก็บตั๋วตั้งแต่คราวก่อนไว้ 



ใครกันบอกว่าจะลืม


ดวงตามองวิวที่พัดผ่านไปในทิศทางตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ใบไม้ที่เคยเห็นเป็นรูปทรงกลับดูเลือนลาง

ใครกันบอกว่าเวลาจะช่วยให้ผมดีขึ้น
ใครกันบอกว่าเวลาจะรักษาทุกอย่าง

ผมพิสูจน์แล้วว่าเวลาไม่ได้ทำให้อะไรเปลี่ยนไป
ผมพิสูจน์แล้วด้วยการกลับมาใช้ชีวิตเดิมซ้ำๆ
ผมแน่ใจว่าสิ่งเหล่านี้ไม่หายไปอย่างแน่นอน
เหมือนที่ผมแน่ใจว่าเขายังอยู่ตรงนี้



นิ้วเรียวหมุนแหวนทองคำขาวซึ่งคล้องอยู่กับสร้อยบนคอและลูบคลำอยู่แบบนั้นซ้ำๆราวกับว่าเวลาจะสามารถย้อนกลับตามแหวนที่เขาหมุน

เมื่อไม่มีทางที่เขาจะย้อนคืนมา
ผมก็แค่อยู่กับพี่มาร์คในความทรงจำของตัวเอง

และเมื่อผมหลับตาลงเขาก็ยังอยู่ตรงนี้
ที่ว่างที่มีแค่เขาคนเดียวที่สามารถเป็นเจ้าของมันได้
อยู่ในใจตรงนี้เสมอ




ในช่วงชีวิตของคนเราน่าจะมีสิ่งหนึ่งที่เรารู้ดีว่ามันจะไม่หายจากกันไปไหน
อาจจะไม่ใช่คนๆหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งของ
แต่อาจเป็นความรู้สึก

ความรู้สึกที่พิเศษซึ่งเราสามารถมอบให้กับบุคคลพิเศษที่ไม่ว่าใครก็มาแทนไม่ได้
ความสัมพันธ์ในแบบที่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร
ความซับซ้อนที่ไม่คิดจะนิยามเสียเท่าไหร่
แต่เป็นความผูกพัน เป็นความรัก เป็นอะไรก็ตามแต่
เป็นความรู้สึกที่รู้ดีว่ามีแค่เราที่เข้าใจ


ความสัมพันธ์ซึ่งไม่คิดจะหาอะไรมาทดแทน
เพราะไม่คิดว่าจะทำ และไม่คิดว่าจะทำเช่นนั้นได้


ผมกับพี่มาร์คเป็นแบบนั้น



Always was
Always will be
Always …


Finite but definite





#มบรถไฟ 03



จากเดินเป็นก้าวเร็วขึ้น 
จากการก้าวเร็วๆเป็นการวิ่งเร็วขึ้นไปอีก 

ผมวิ่ง วิ่ง และวิ่ง
แม้ในมือจะยังถือห่อข้าวกล่องอยู่แต่ผมก็พยายามให้มันสั่นน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้

เพื่อที่กับข้าวข้างในจะไม่เละ
เพื่อไปยังที่ๆมีคนรอผมอยู่

ถ้าเขายังรอผมอยู่...


ผมพาตัวเองมาถึงลิฟต์ชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล ก้าวแล้วก้าวเล่าที่ก้าวเดินบนพื้นสีออฟไวท์มันเงา ผ่านกระจกติดฟิล์มกันแสงทำให้เห็นเงาตัวเองเคลื่อนไหวลางๆ 

รู้สึกเหมือนทั้งโลกหยุดหมุน
และมีแค่ผม ที่กำลังวิ่งอยู่
วิ่งจนแทบจะหายใจไม่ออก


แต่ ณ เวลานี้
ลมหายใจเหมือนไม่จำเป็นอีกต่อไป


เลขดิจิตอลสีแดงในลิฟต์แสดงชั้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ผมจ้องมันโดยในใจหวังว่าตัวเลขนั้นจะเปลี่ยนไวขึ้น

ในที่สุดประตูเหล็กสีเงินไร้จิตวิญญาณก็เปิดออก ภาพที่สะท้อนในดวงตาของผมคือพี่แทมมี่ยืนกอดกับไคลี่และเลล่า ป๊าต้วนกุมมือแม่ของพี่มาร์คซึ่งซบไหล่ของเขาอยู่ ใบหน้าของชายวัยกลางคนก้มลงมองพื้น


ตึก


ตึก


ตึก


ตึก


เสียงส้นรองเท้ากระทบกับพื้นเงาดังกังวานท่ามกลางความเงียบที่ปนไปกับเสียงจังหวะหัวใจที่อยากจะเต้นช้าลงกว่านี้แต่เห็นทีจะทำไม่ได้

ผมหยุดยืนหน้าประตูห้องผ่าตัดด้วยความรู้สึกที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารู้สึกอะไรอยู่ เบื้องหน้าเป็นสีขาวโพลนไปหมด ประตูสะท้อนแสงไฟสว่างจ้าด้านใน


"ทำไข่ยัดไส้ให้กินหน่อย นะๆๆๆ"

เสียงของเขายังคงก้องในหัวของผม


"ก็ได้"

ตอนนั้นผมได้แต่ยิ้ม 
ถึงจะกลัวแค่ไหน ผมก็ยิ้ม
อาจเพราะคิดว่าเขาต้องหวั่นใจกว่าผมแน่นอน


"สัญญาแล้วนะ ห้ามลืมล่ะ"

ตาเรียวหยีขึ้นด้วยรอยยิ้มอบอุ่น มือหนาซึ่งซูบผอมลงไปเยอะจับมือของผมไปอิงกับแก้มตอบ


"อื้อ"

คำมั่นสัญญาของผมเอ่ยออกไป
โดยที่ลืมให้เขาพูดประโยคเดียวกัน




"แบมแบม... ไปไหนมาลูก"

เสียงคุณแม่พี่มาร์คดังขึ้นในโสตประสาทของผม รวมทั้งมือเย็นๆของเธอที่ยื่นมาจับแขน


"อ่า..."

ดวงตายังคงจ้องไปที่ประตูบานเดิม เสียงของผมเหมือนไม่สามารถออกมาเป็นประโยคได้หลังจากเห็นน้ำตาของทุกคน


"แบม พี่มาร์คเขา..."

คุณป้าพูดได้เพียงเท่านั้นประโยคก็ถูกตัดไปราวกับลมหายใจไม่เพียงพอ เสียงสะอื้นแทรกขึ้นมาแทนที่พร้อมกับไหล่ของเธอซึ่งห่อลงและร่างทั้งร่างสั่นเทาอีกครั้ง


มาร์ค..



"เขา... กำลังหลับน่ะแบม"


เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำว่าหลับแล้วรู้สึกไม่สบาย
ครั้งแรกที่รู้สึกจุกแปลกๆ
ครั้งแรกที่ไม่รู้ตัวจนกว่าข้าวกล่องในมือจะตกพื้น

มือสองข้างเอื้อมไปเก็บฝากล่องสีขุ่นพร้อมกับเข่าซึ่งย่อลงอัตโนมัติ 
มือสองข้างของผมสั่นอย่างห้ามไม่ได้


"แล้วข้าวกล่องของแบมล่ะมาร์ค"

ผมพูดกับประตูตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจว่าน้ำตาจะไหลออกมาหรือไม่ ในมือรู้สึกแค่เพียงการมีอยู่ของข้าวกล่องที่ผมตั้งใจกลับบ้านไปทำมา


"มันจะต้องบูดอีกแล้วหรอมาร์ค รอบที่สองแล้วนะ..."


คนบนเตียงนั้นยังคงหายใจอยู่ แต่ด้วยข้อจำกัดของกาลเวลา เขาจะยังหายใจ แค่ในระยะเวลาที่ถูกกำหนดมาแล้วเท่านั้น

ผมเคยได้ยินว่าการยื้ออะไรซักอย่าง ก็ต้องมีสิ่งไปแลก
เหมือนกับซินเดอเรลล่าล่ะมั้งครับ เหมือนการที่ต้องวิ่งหนีตอนเที่ยงคืน

แต่ตรงนี้ตอนนี้ไม่มีรองเท้าแก้ว ถ้าคนตรงหน้าผมหายไป ผมไม่รู้จะไปตามเขาคืนจากที่ไหน ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงจึงจะได้เจอกันอีกครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องอยู่ด้วยความรู้สึกแบบไหน

จริงที่ทุกคนคงต้องทำใจกับการสูญเสีย 
ไม่วันนี้ ก็วันหน้า 
แต่ถ้าทุกคนเลือกได้...


จะมีใครบ้างที่อยากสูญเสียคนสำคัญ



*


ผมไม่รู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไหร่ และไม่ค่อยได้สนใจว่าเวลานี้กี่โมงแล้ว

รู้แค่วันนี้เป็นวันที่สิบสองที่ผมนั่งมองคนขี้เซาบนเตียง
คนขี้เซาที่ไม่ยอมตื่นมาเสียที...

ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากฟุบหน้าลงกับผ้าห่มสีขาวสะอาด ในใจอยากจะร้องไห้อีกครั้งหากแต่ร่างกายเหมือนจะไม่สามารถผลิตน้ำตาออกมาได้มากเกินไปกว่านี้ สมองสั่งการให้ผมเงยหน้าขึ้นมองตรงไปยังท้องฟ้าผ่านหน้าต่างชั่นสูงของโรงแรม

เมื่อไหร่กันนะที่ขอบฟ้าดูโดดเดี่ยวขนาดนี้
แค่เพราะไม่มีบางคน


"แบมออกไปทานข้าวมั้ย เดี๋ยวพี่เฝ้าให้เอง"

เสียงพี่แทมมี่ดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าของหลานๆตามมา ผมยิ้มและผงกหัวให้เธอเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจกับตัวเอง


"สั่งเข้ามาก็ได้ครับ"

พอได้ยินคำตอบคนสูงวัยกว่าก็ขมวดคิ้วแล้วเดินเข้ามาตีต้นแขนของผม


"ได้ยังไง เราไม่ได้ออกไปไหนมากี่วันแล้วเนี่ย ไปสูดอากาศบ้าง เจอผู้คนบ้างนะ พี่ว่าเราเป็นแบบนี้มาร์คก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ถือว่าทั้งพี่ทั้งมาร์คขอ นะ"


อ่า...

พอขึ้นชื่อว่าพี่มาร์คแล้วผมก็จนปัญญาจะเถียง


"งั้นเดี๋ยวแบมเข้าห้องน้ำแล้วไปครับ"

กวักน้ำเย็นขึ้นล้างหน้าเป็นรอบที่สองของวัน ผมจ้องมองตัวเองในกระจก สีหน้าอิดโรยกับขอบตาคล้ำ พ่วงด้วยแก้มตอบซูบซีดและผิวซึ่งดูขาดน้ำ

ไม่รู้มาก่อนว่าพอไม่มีพี่มาร์คแล้วผมจะพังลงมาอย่างง่ายดายขนาดนี้
ไม่คิดมาก่อนว่าความรักของผมจะมากจนเจ็บปวด

ผมเดินมาที่โรงอาหารชั้นกลางของโรงพยาบาลซึ่งไม่เคยได้มาเพราะปกติจะอาสาอยู่เฝ้าในห้องแทนพี่แทมมี่ที่ต้องรับส่งหลานๆ และพ่อแม่ของพี่มาร์คที่ต้องเข้าออฟฟิศเป็นบางวัน ส่วนมากเลยสั่งอาหารเข้ามาแทน

ผมหยิบเมนูอาหารตามสั่งขึ้นมาเพียงเพื่อจะพบว่าผมยังคงสามารถร้องไห้กับเรื่องเดิมๆได้ง่ายเหลือเกิน
น้ำตาไหลออกมาไม่มาก แต่ก็พอจะหยดลงบนเมนูอาหาร ผมยกมือขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆและเขียนเมนูอาหารที่ผมอยากทานมากที่สุด

จริงๆคงไม่ใช่ผมหรอก

ไข่ยัดไส้น่ะ
พี่มาร์คต่างหากที่อยากกิน


I would have done anything
And everything
All over again
Just to hear the sound of your voice
Calling my name



ครืด

เสียงสั่นสะเทือนที่ไม่ได้มีมาหลายวันของโทรศัพท์ซึ่งผมเปิดแค่ให้บางคนโทรเข้าได้ดังขึ้น ผมรีบคว้ามาตอนเห็นว่าสายเข้าเรียกจากพี่แทมมี่


"ว่าไงครับ"


ประโยคต่อไปทำให้ช้อนร่วงลงจากมือขวา พร้อมกับโทรศัพท์ในมือซ้ายสั่นๆซึ่งไม่นานก็รู้สึกหมดแรง


'รีบมาเร็วแบม มาร์คฟื้นแล้ว'




*



ไม่มีเสียงทักทายเหมือนครั้งก่อนหน้านี้ ริมฝีปากซีดยกยิ้มบางผ่านเครื่องช่วยหายใจที่ครอบบริเวณนั้นอยู่ 

ผมไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงดี
แต่มือสั่นๆของตัวเองก็ยื่นออกไปจับหน้าซูบซีดของอีกฝ่าย พยายามกลั้นน้ำตากลั้นเสียงสะอื้นเท่าไหร่ความรู้สึกต่างๆก็ยังดื้อรั้นจะกรูกันออกมาเสียให้ได้


"มาร์ค..." ส่งเสียงที่แทบจะขาดหายไปในห้วงอากาศออกเรียกอย่างเว้าวอนชนิดที่ตัวเองยังตกใจ

ร่างสูงส่งสัญญาณให้พยาบาลช่วยถอดเครื่องช่วยหายใจให้เพื่อจะพูดบางอย่าง ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่คุกเข่าลงกับพื้นห้อง ในมือมีฝ่ามือเย็นของอีกฝ่าย


"แบม...มองหน้ามาร์คหน่อยเร็ว"

ผมไม่อยากรู้ว่าสิ่งที่ทำให้เสียงของเขาขาดหายและแหบขนาดนี้คืออะไร ผมรู้แต่ว่าผมคิดถึงน้ำเสียงสดใสของคนตรงหน้าเหลือเกิน

ผมเงยหน้าตามที่เขาขอ
ณ ตรงนี้ เวลานี้ ไม่มีอะไรที่เขาขอแล้วผมจะไม่ทำให้

รู้สึกถึงแรงบีบน้อยๆที่มือซึ่งกุมกันไว้แล้วขอบตาก็ร้อนผ่าวอีกระลอก เหมือนคลื่นน้ำชายฝั่งที่ซักเข้าหาดทุกวี่ทุกวันอย่างไม่คิดจะเหนื่อย ริมฝีปากบางยังยิ้มให้ผมอย่างอบอุ่นและอ่อนโยนแม้จะดูอ่อนแรงกว่าเดิมมากก็ตาม


"หายไวๆสิมาร์ค ทุกคนรออยู่เห็นมั้ย"

ผมยิ้มเท่าที่ยิ้มได้ ทำตัวปกติเท่าที่ทำได้ แต่เหมือนทุกอย่างจะไม่ค่อยเอื้ออำนวยเสียเท่าไหร่ เสียงที่เอ่ยประโยคปกติกลับสั่นไหวอย่างไม่ปกติเอาเสียเลย

แต่ถึงอย่างนั้นพี่มาร์คก็ยังยิ้ม


"สัญญาอะไรกับมาร์คหน่อยนะ ทุกคนด้วย..."

พี่แทมมี่ คุณพ่อ และคุณแม่ของมาร์คเข้ามาล้อมเตียงใกล้ขึ้นทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของคนป่วย


"ถ้าถึงเวลาจริงๆ ไม่ต้องพยายามกันแล้วนะ"

หัวใจเหมือนแก้วที่หล่นแตกละเอียดทันทีที่เสียงเข้ามาก้องอยู่ในหัว เขาเหมือนกำลังขอทุกสิ่งที่ผมไม่คิดอยากทำได้


"พูดอะไรน่ะมาร์ค อย่าล้อเล่นนะ เดี๋ยวก็หายแล้ว"

ผมหัวเราะแห้งๆด้วยความหวังว่าพี่มาร์คจะหัวเราะตอบและบอกว่าทั้งหมดนี่เป็นเรื่องล้อเล่น แต่สิ่งเดียวที่ได้กลับมาคือรอยยิ้มอันเหนื่อยล้า


"ถ้ามันจำเป็นล่ะก็..."

เสียงพี่แทมมี่ขาดช่วงก่อนเธอจะเดินออกจากห้องไอซียูไปพร้อมกับคุณพ่อและคุณแม่ของพี่มาร์คซึ่งทำได้แค่พยักหน้าน้อยๆเท่านั้น


"ขอโทษนะแบม"


"ไม่เอาสิมาร์ค เขาร้องไห้หมดแล้วเห็นไหม เล่นอะไรบ้าๆ..."

พี่มาร์คไม่ตอบอะไรผมอีก เขาทำเพียงแค่ยิ้มรับภายใต้เครื่องช่วยหายใจที่พยาบาลเดินมาใส่คืนให้ เสียงที่เหลือมีเพียงแค่การสะอื้นไห้ของผมและเสียงอัตราการเต้นของหัวใจจากเครื่องวัด


เป็นครั้งแรกที่เจ็บในหน้าอกจนกลั้นไว้ไม่อยู่
ครั้งแรกที่เผลอสะอื้นดังจนอีกฝ่ายยกมือซูบผอมมาแตะเบาๆบนแก้มที่เปียกไปด้วยน้ำตา


สายตาของพี่มาร์คกำลังบอกให้ผมหยุดร้องไห้เพราะเขา แต่ผมไม่รู้จะทำมันได้ยังไง ในเมื่อผมไม่เคยร้องไห้ขนาดนี้ให้ใคร ถ้าคนนั้นไม่ใช่เขา


You told me all this would go away
But then this is all I have
If I let go, what would I have to guide me home?



พี่มาร์คหลับๆตื่นๆเป็นเวลานาน และในที่สุดตอนนี้การนอนของเขาก็กลับมาเป็นปกติ คนโตกว่าเหมือนจะแข็งแรงขึ้น ทุกอย่างดีขึ้นกว่าตอนที่เขาหลับอยู่มาก ทั้งตัวพี่มาร์คเอง ครอบครัว หลานๆ และรวมทั้งผมด้วย


"ป้อนคนป่วยหน่อยสิคุณพยาบาล"

ร่างสูงเอ่ยขึ้นเมื่อถาดอาหารอ่อนสุดอย่างข้าวต้มเหลวๆมาเสิร์ฟอยู่ด้านหน้า ผมไม่อิดออดเหมือนแต่ก่อน ร่างกายเหมือนเริ่มชินกับการบริการคนป่วยขึ้นทุกวัน


"รีบๆหายแล้วจะได้กินเองซะทีนะรู้มั้ย"

ป้อนไปก็ไม่อยากเงยหน้าสบนัยน์ตาสีเข้มที่สะท้อนเงาของผมในนั้น


"แบบนี้ก็สบายดีออก มาร์คหายแล้วแบมก็จะไม่มาเอาใจแล้ว มาร์ครู้หรอก"

ผมกลัวคำพูดแบบนี้ของพี่มาร์คยิ่งกว่าอะไร ผมกลัวว่าจะต้องนั่งเฝ้าเขาแบบนี้ไปเรื่อยๆโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้


"หยุดพูดแบบนั้นนะมาร์ค ถ้ามาร์คไม่อยู่..."

"มาร์คล้อเล่นนน แบมอย่าซีเรียสสิ มาร์คยังไม่อยากกินข้าวต้มปรุงรสด้วยน้ำตานะ"

นิ้วเรียวปาดน้ำตาซึ่งผมก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหยดลงมาบนแก้มตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเงยหน้าสบตากับเขาในที่สุด พยายามจะเว้าวอนให้เรายืดเวลาออกไปได้อีกนานๆ ให้เขาหายดีเหมือนปกติ



หรือจริงๆไม่ต้องปกติก็ได้
ผมแค่ขอให้เขาอยู่ตรงนี้ 
ที่ๆผมสามารถจับต้องได้



#มบรถไฟ 02



People say you won’t know how important time is until the hourglass is running out of sand. 

But what did I do wrong?
I am sure I have been taking good care of our time and you…

So tell me what went wrong
Why am I losing what I treasure most?




"มาร์คอยากกินอะไรมั้ย เดี๋ยวแบมทำมาให้"

ผมกุมมืออุณหภูมิต่ำกว่าของอีกฝ่ายไว้ รอบตัวไม่มีเสียงใดนอกจากเครื่องวัดอัตราการเต้นหัวใจและเสียงเครื่องปรับอากาศ 
พี่มาร์คในชุดโรงพยาบาลสีเขียวอ่อนยิ้มให้ผมราวกับว่าเรายังมีชีวิตอยู่อย่างธรรมดา


"อยากกินไข่ยัดไส้"

ผมหัวเราะกับเมนูของเขา เมนูง่ายๆที่จริงๆแล้วคนป่วยไม่สมควรทานเท่าไหร่ ยิ่งคนที่เตรียมตัวเข้าผ่าตัดแบบเขาคือลืมไปได้เลย


"จะกินได้ยังไง มันหนักไป หมอให้กินแค่โจ๊กล่ะมั้ง"

ผมหยอกเขาเล่นเมื่อเห็นว่าคนอายุมากกว่าทำหน้าบูดยามถูกขัดใจ บางทีพี่มาร์คก็เหมือนเด็กงอแงซึ่งนั่นก็ตลกดีสำหรับผม

ลดศีรษะลงวางบนบริเวณไหล่ของอีกฝ่าย ผมจับมือพี่มาร์คไว้หลวมๆ ด้วยความรู้สึกนิ่งงัน


แค่ขอให้ได้ยินเสียงลมหายใจนี้ก็พอใจแล้ว



บรรยากาศหน้าห้องผ่าตัดเป็นไปอย่างเคร่งเครียดเหมือนในละครที่พวกเขาดูด้วยกันบ่อยๆ ทว่าความรู้สึกนั้นมากกว่าที่ผมเคยคาดคิดไว้เสียอีก คงเป็นเพราะคนที่นอนอยู่ในห้องท่ามกลางสายระโยงระยางและเครื่องมือแพทย์คือพี่มาร์ค 


คนที่ผมรักมากเหลือเกิน


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้ายาวนานราวกับไม่มีวันสิ้นสุด ผมได้แต่บีบมือตัวเองแน่น น่าแปลกที่คนไม่เคยใส่ใจศาสนาใดๆแบบผมกลับเลือกที่จะสวดอ้อนวอนไม่หยุด ขอให้ใครก็ตามอย่าเพิ่งพาเขาไปไหน อย่าได้พรากเขาจากผมไป

หนังสือสวดมนต์ถูกวางไว้ข้างๆม้านั่งพลาสติกที่เป็นแถวยาวของโรงพยาบาล ถ้อยคำสวดในเล่มพิมพ์เป็นภาษาไทยก็จริง ทว่ามันก็เป็นคำพูดที่ผมไม่เข้าใจ แต่การที่พร่ำภาวนาในใจมาร่วมหลายชั่วโมงก็ทำให้จำมันได้ดีโดยที่ไม่ต้องเปิดอ่าน

ผมจ้องไปที่ประตูกระจกซึ่งถูกรูดผ้าม่านสีเขียวจากด้านในอย่างรอคอย ไม่กล้าแม้แต่จะพักสายตา
ปากก็ขยับพึมพำสวดคำบาลีอย่างไร้เสียง กลัวว่าจะทำให้ครอบครัวของพี่มาร์คที่นั่งถัดไปไม่ไกลนักขวัญเสียกว่าเดิม

จริงอยู่ว่ามันไม่ได้ทำให้ผมสงบหรือกังวลน้อยลง อันที่จริงอาจจะไม่ช่วยอะไรเลยก็ได้
แต่มันแค่เป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้

ความรู้สึกหวาดกลัวที่จะเสียใครไปจากชีวิตมันเป็นแบบนี้นี่เอง 
กลัวจนทรมานไปทั้งอก

เพิ่งรู้เหมือนกันว่าผมรักเขามากขนาดนี้
เพราะฉะนั้นมาร์คต้องกลับมาหาแบมนะเข้าใจไหม 


กลับมาอยู่ด้วยกัน



*


สัมผัสเบาบนบ่าแตะเรียกให้ผมสะดุ้งลืมตาขึ้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเผลอหลับตาไปตอนไหน ณ ตอนนั้นร่างกายคงจะควบคุมทุกอย่างที่สมองปฏิเสธจะสั่งงาน เมื่อสติทั้งหมดบอกว่าต้องตื่นเพื่อรอพี่มาร์คแต่ความเหนื่อยล้าโจมตีจนต้องสัปหงกอยู่หน้าห้องผ่าตัด


"แบม มาร์คออกจากห้องผ่าตัดแล้วนะ"

จำได้อย่างเดียวคือรอยยิ้มของพี่แทมมี่ ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหมายของประโยคเมื่อครู่คืออะไร สติทั้งหมดเลือนหายไปตั้งแต่เห็นรอยยิ้มของพี่แทมมี่

อาจเพราะคิดว่ามันคือสัญญาณอันดีว่าพี่มาร์คปลอดภัย

ขาทั้งสองข้างลุกขึ้นอัตโนมัติพร้อมก้าวเดินตามพี่สาวของมาร์คไปยังห้องไอซียู ถึงเราจะยังเข้าเยี่ยมไม่ได้แต่อย่างน้อยผมก็ได้เห็นเขาจากตรงนี้

มือเย็นชื้นเหงื่อของผมสั่นเทาเล็กน้อยเมื่อทาบลงกับกระจกใสซึ่งเผยให้เห็นภาพของผู้ชายที่ผมรัก

เขานอนนิ่ง ดวงตาสวยคู่นั้นปิดสนิท มีสายช่วยหายใจและสายน่ำเกลือระโยงระยางเต็มไปหมด อีกทั้งเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจและอะไรอีกมากมายที่ผมเคยไม่รู้จักมันและไม่ค่อยอยากจะรู้จักเท่าไหร่

ผมไม่ได้เรียนแพทย์มา และผมไม่เคยเก่งวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะชีววิทยา ผมเคยไม่เข้าใจศัพท์ยากๆพวกนี้ แค่ความหมายของคำว่าความดันเลือดก็มากที่สุดสำหรับผมแล้ว


แต่วันนี้ผมรู้จักทั้งหมดนี่ดีเพราะพี่มาร์ค





"อืม..."

ผมสะดุ้งตื่นจากการฟุบหลับอีกครั้งในหลายรอบของวันเมื่อได้ยินเสียงทุ้มแหบและรับรู้ถึงการขยับกล้ามเนื้อของคนบนเตียง


"มาร์ค"

สมองเหมือนจะยังประมวลผลอะไรไม่ได้มากแต่มือก็เอื้อมไปกดปุ่มเรียกพยาบาลทันทีที่เห็นว่าพี่มาร์คลืมตาแล้ว


"ไง"

เขายิ้มบางและเหมือนนั่นจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวเดียวที่เหลือเพื่อให้น้ำใสไหลลงจากดวงตาอย่างไม่รู้ตัว


"ไงอะไรกันเล่า... ฮึก"

ผมไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอะไรอยู่ ทุกอย่างเหมือนตีตื้นขึ้นมารื้นบนขอบตาร้อนผ่าว มือถูกส่งออกไปจับฝ่ามือเย็นที่หงายขึ้นของอีกคน


"คนไข้รู้สึกตัวแล้วหรอคะ"

เสียงนางพยาบาลในชุดสีขาวเรียบร้อยตามแบบฟอร์มของโรงพยาบาลดังขึ้น พร้อมกับครอบครัวของมาร์คที่เดินเข้ามาล้อมรอบเตียงผู้ป่วยกันทั้งบ้าน

แพทย์เจ้าของไข้ทำการเช็คนู่นนี่ตามประสาผู้ป่วยผ่าตัดเพิ่งฟื้นพึงจะได้รับ พอเสร็จทุกอย่างเรียบร้อยนายแพทย์วันกลางคนก็หันมายิ้มกับพวกผม


"ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะครับ คงจะอยู่โรงพยาบาลไปซักพัก แต่ไม่นานมากหรอกครับเพราะคนไข้ฟื้นตัวเร็วมาก"

ได้ยินดังนั้นผมก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจไม่ได้ เจ้าหนูไคลี่และเลล่าหลานสาวของมาร์คเองก็เดินมาจับมือผมไว้ด้วยความตื่นเต้น


"อามาร์คหายแล้วเราไปเที่ยวกันนะคะอาแบมแบม"

เสียงเจื้อยแจ้วแสนสดใสดังระงมเมื่อผมเริ่มจะพยักหน้าและยิ้มตาม เหลือบไปมองเจ้าตัวคนไข้เองที่ยิ้มกว้างมองผมและครอบครัวของเขาก็ทำให้ผมเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงอีกครั้ง


"ไหนล่ะไข่ยัดไส้ของมาร์ค"

ผมหัวเราะให้กับประโยคเต็มประโยคแรกที่เขาพูดกับผม มันไม่ใช่ 'กลับมาแล้วนะ' หรือ 'เดี๋ยวหายแล้วไปเที่ยวกัน' หรืออะไรซึ้งๆอย่างที่เคยดูในหนังและละครภาคค่ำ แต่เป็นการทวงมื้ออาหาร


ถึงอย่างนั้นผมก็ดีใจที่ได้ยินเสียงของเขา


"บูดไปแล้ว มาร์คหลับไปนานเกิน"

จริงๆผมก็ลืมคิด ตอนนั้นตื่นเต้นจนทำข้าวกล่องมาเร็วไปนิด ลืมคิดไปเลยว่าถ้ามานั่งรอเฉยๆจะไม่มีตู้เย็นให้ใส่ข้าวไข่ยัดไส้


"อ้าว แล้วทำไมไม่ใส่ตู้เย็นอะ มาร์คอยากกิน"

คนป่วยเริ่มทำแก้มพองลม ใบหน้าซึ่งซูบลงเล็กน้อยแสดงท่าทางงอนเสียเต็มประดา


"จะเอาไปไว้ที่ไหน แบมอยู่หน้าห้องผ่าตัด หน้าห้องไอซียูเนี่ย"

พอแจกแจงเหตุผลสีหน้าคนป่วยก็กลับมามองอย่างเว้าวอน มือใหญ่กลับมาบีบมือของผมย้ำๆ


"เสียดายของอะ ทำให้มาร์คกินอีกนะๆๆ"

เจ้าตัวพยายามบีบเสียงแหบแห้งให้เล็กดังเด็กวัยกำลังโต บางทีผมก็สับสนว่าเขามีแรงทำอะไรแบบนี้ได้ยังไงทั้งๆที่เพิ่งจะฟื้นได้ไม่นานนัก


"จะบ้าหรอมาร์ค นี่เพิ่งจะฟื้นใครเขากินไข่ยัดไส้กัน"

พอแกล้งทำเสียงดุใส่คนไข้จอมยุ่งก็เบะปากทันทีทันใด ผมยิ่งแกล้งก็ยิ่งขำกับท่าทางเสียดายข้าวไข่ยัดไส้ธรรมดาๆฝีมือผมของพี่มาร์ค


"แต่มาร์คอยากกินฝีมือแบมนี่นา"

ก่อนที่ผมจะได้ค้านอะไรขึ้นมาอีก คุณแม่ของพี่มาร์คก็เดินมาชิดขอบเตียงฝั่งเดียวกับผม มือของหญิงวัยกลางคนจับไหล่ของผมไว้หลวมๆ


"เอ้า เถียงอะไรกันเนี่ย คนป่วยงอแงหรอแบม"


พี่มาร์คทำท่าจะเถียงก่อนที่จะไอออกมาติดกันหลายครั้ง ผมรีบกระวีกระวาดไปหยิบแก้วน้ำที่อยู่ข้างเตียงมายื่นให้ 


"นั่นไง ไอเลยเห็นไหม ทำอะไรเป็นเด็กๆ"


คุณแม่พี่มาร์คบ่นพลางยื่นทิชชู่ให้หลังจากที่อีกคนดื่มน้ำเสร็จ ผมเลยถอยหลังออกมานิดหน่อย เพื่อที่จะให้คุณแม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ขึ้น
ทว่าคนป่วยกลับยื่นมือมายึดมือผมไว้ ไม่ยอมให้ขยับไปไหน


"...มาร์ค" 


ผมกระซิบลอดไรฟันขณะยื้อมือออกเบาๆ 
ทั้งผมและเขายังไม่เคยบอกทางบ้านถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรา ดังนั้นสถานะที่คนอื่นมองเห็นคือความเป็นพี่น้องเท่านั้น
พอพี่มาร์คมาทำแบบนี้ต่อหน้าคนทั้งครอบครัวผมเลยคิดว่าไม่เหมาะเท่าไหร่นัก


มือหนาไม่ปล่อย ยังคงส่งผ่านสัมผัสนั้นอย่างดื้อดึง
ใบหนาหล่อเหลามีการแสดงออกอย่างที่มักจะทำเวลาขัดใจ


ผมได้ยินเสียงคุณพ่อของพี่มาร์คหัวเราะออกมาเสียงเบา จากนั้นก็เอื้อมมือมาลูบหัวคนป่วยแล้วก็หันมาพูดกับผม


"ป๊ากับม๊าว่าจะพาไคลี่กับเลล่าออกไปกินไอติมซะหน่อย ฝากดูไอ้ลูกชายตัวแสบด้วยนะ ถ้าดื้อมากก็ตีได้ ป๊าไม่ว่า"


"ป๊า!" คนป่วยได้ยินก็โวยวายเสียงแห้งจนป๊าหัวเราะออกมา ไคลี่กับเลล่าได้ยินเสียงคุณตาก็ตื่นเต้นใหญ่ ผมเลยพลอยหัวเราะตามด้วยไม่ได้
มีเพียงพี่มาร์คที่นั่งหน้าบูดอย่างไม่ได้จริงจังนัก

ก็แค่อยากถูกเอาใจ 


หลังจากที่ทุกคนออกไปจากห้องผมก็ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเจ้าของร่างสูงที่ทำตัวไม่ค่อยจะสมวัยนัก 

"ไหนคนไข้เป็นอะไร บอกคุณหมอซิ" ผมแกล้งหยอก มือข้างนั้นยังคงถูกยึดกุมไว้โดยมืออุ่นของคนตรงหน้า 

ผมบีบมือนั้นเบาๆ หวังจะส่งผ่านสัมผัสของความห่วงใยไปให้พี่มาร์ค
และยืนยันกับตัวเองซ้ำๆว่าเขาอยู่ตรงนี้
ยังอยู่ตรงนี้

ร่างสูงในชุดสีอ่อนของโรงพยาบาลตบลงที่นอนข้างตัวปุๆ เป็นเชิงให้ขึ้นไปนั่งข้างๆ
แบมแบมส่ายหน้า "ไม่เอา ที่แคบนิดเดียวเอง"

“แบมไม่อ้วนซะหน่อย นอนด้วยกันได้หน่า”

“ไหนแต่ก่อนชอบบอกแบมอ้วน ไม่เอาหรอก เดี๋ยวสายอะไรต่อมิอะไรหลุดจะทำไง โดนดุพอดี”

“ล้อเล่นหน่อยเดียวเอง แบมแค่อ้วนออกหน้าไง”

“เห็นมั้ย ชอบแกล้งแบมอยู่ได้”

“ไม่แกล้งแล้วๆ มานั่งนี่ก่อนเร็ว มาร์คผอม แบมก็ผอม เตียงตั้งใหญ่”

ผมชะงักกับคำพูดที่ว่าพี่มาร์คผอมลง เขาพูดมันราวกับเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องที่ดี แต่ประโยคนั้นกลับทำให้ผมใจหายยังไงก็ไม่รู้ ผมรู้แค่ว่ามันฟังดูไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมเสียเลย

“แล้วมาร์คผอมลงมันดียังไงฮะ กินเยอะๆเลย จะได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ”

คนป่วยได้แต่ยิ้มและหัวเราะเหมือนโลกทั้งใบยังคงสดใสเหมือนเดิมแบบที่เคยเป็น สดใสเสียจนผมคิดว่าเป็นตัวผมเองเสียอีกที่รู้สึกป่วย

“ก็มานั่งข้างๆก่อนสิ เดี๋ยวกินเลย”

ผมถอนหายใจให้กับความดื้อรั้นของคนอายุมากกว่าตรงหน้าก่อนจะจำใจขึ้นไปนั่งข้างๆอีกฝ่ายตามที่พี่มาร์คขอ มือใหญ่ประสานนิ้วทั้งห้าเข้ากับนิ้วมือของผมอย่างเป็นธรรมชาติ 

ผมเอนศีรษะลงกับบ่ากว้างที่รู้สึกจะแข็งขึ้นเพราะเนื้อและไขมันของเขาหายไปตามน้ำหนักตัว กลิ่นเย็นๆราวน้ำค้างซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพี่มาร์คถูกแทรกซึมด้วยกลิ่นของโรงพยาบาล

ผมซบบ่าเขาอยู่แบบนั้นจนรู้สึกว่าตนเองเสียอีกที่อ่อนล้ากว่าผู้ป่วยข้างๆมากมาย
“นี่” ส่งเสียงเบาเรียกออกไปโดยที่จริงๆแล้วในหัวก็ไม่ได้อยากจะมีคำเอ่ย

“ว่าไงหืม”

“สัญญาหน่อยสิ”

ปกติผมไม่ชอบการให้คำมั่นสัญญาเอาเสียเลย ผมคิดว่ามันดูหลอกลวงที่จะพูดอะไรไปก่อนโดยไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่

“สัญญาว่า?”

“จะอยู่กันอีกนานๆ”

“ไม่คิดมากนะเด็กน้อย”

ผมขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว
แค่ครั้งนี้ที่ต้องการคำมั่นสัญญาจากคนๆนี้

พี่มาร์คยิ้มขณะลูบหัวผมอย่างเบามือ
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้อุ่นวาบไปทั้งใจ
สัมผัสแผ่วเบานี่ช่างอบอุ่นและสบายใจ

ทั้งหมดที่ฝ่ายนั้นถ่ายทอดออกมาทำให้ผมลืมทุกอย่าง
คิดแค่เพียงว่าอยากอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ


I can’t imagine how one day
All this would become another picture in the frame
Another memory full of joy and pain
Another cry when it rains


ลืมแม้กระทั่งจะฉุกคิดขึ้นว่าคำสัญญานั้นไม่ถูกตอบรับจากคนตรงหน้า




กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลยังคงเป็นกลิ่นที่ไม่คุ้นชินสำหรับผม มันให้ความรู้สึกสะอาดก็จริงแต่มันก็ทำให้นึกถึงการสูญเสียเช่นเดียวกัน

ผมเกลียดการสูญเสีย
คงเพราะกลัวเกินกว่าที่จะเสียใครไป


เคยมีคนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ของผม 
จำได้ว่าพอฟังจบเขาจับมือผมไปกุมไว้แล้วยิ้มกว้าง
ขายาวๆพาผมเดินไปอีกทาง เห็นว่าผมอิดออดพี่มาร์คก็กระตุกมือที่จับกันไว้ 
สุดท้ายเลยต้องเดินตามไป


"โรงพยาบาลไม่ได้มีแต่เรื่องน่าหดหู่แบบนั้นซะหน่อย ดูสิ" 

เขาชี้มืออีกข้างไปทางตึกสีขาวอีกตึก อยู่ข้างๆกับตึกผู้ป่วยนอกที่ผมมาทำแผล 
มองตามไปก็เห็นคนเยอะแยะกำลังอุ้มเด็กในห่อผ้านุ่มสีอ่อน

บางคนก็มีญาติพี่น้อง มีสามีอยู่ข้างๆ 
บางคนก็อยู่ตามลำพัง
ทว่าสิ่งที่ทุกคนต่างมีเหมือนกันคือประกายความสุขที่แม้แต่คนนอกอย่างผมยังสัมผัสได้


"เห็นไหม มันไม่มีอะไรแย่ไปซะหมดหรอก"


มันไม่แย่จริงๆ ตราบใดที่คนในชีวิตผมไม่จากไป
โดยเฉพาะเขา



Friday 6 November 2015

#มบรถไฟ 01

01




"มาร์ค!"

ผมตะโกนชื่อเขาแบบไม่มีคำนำหน้าทั้งๆที่เขาแก่กว่าผมราวสี่ปี พี่มาร์คหันมาหาผมด้วยรอยยิ้มอันคุ้นเคย

รอยยิ้มที่คนรอบข้างบอกว่ามีแต่ผมเท่านั้นที่คุ้นเคย


"ไปซื้อขนมกัน"

จริงๆผมไม่ได้แค่อยากออกไปหาอะไรกิน แต่ผมอยากไปเดินเล่นรับลมมากกว่า และเห็นทีนั่นจะเป็นโค้ดลับที่มีแค่ผมกับเขาที่รู้


"กินจนแก้มย้อยแล้วนะแบม"

เสียงทุ้มเข้ามาใกล้พร้อมมือใหญ่ส่งมาบีบและยืดแก้มสองข้างของผม แต่ร่างสูงก็เดินไปใส่รองเท้าหน้าประตูห้องอยู่ดี


"พี่มาร์คบ่นแต่ก็ตามใจแบมแบมตลอดอะ"

ยองแจผู้กำลังนั่งดูทีวีเอ่ยขึ้นเนือยๆพร้อมกรอกตาไปมาอย่างล้อเลียน


มั่นใจว่าผมเคยได้ยินประโยคนี้เกินยี่สิบครั้งแน่นอน
และมันก็ไม่ได้มาจากยองแจคนเดียว


ตอนเรียนมหาลัยผมอยู่หอกับยองแจและพี่มาร์ค ยองแจเป็นเพื่อนที่คณะซึ่งขอย้ายเข้ามาด้วยเหตุผลที่ว่าห้องผมมีตั้งสองห้องนอน และผมก็แบ่งห้องกับยองแจได้สบาย พี่มาร์คก็ไม่ว่าอะไร เราสามคนเลยมาอยู่ด้วยกัน พูดตรงๆยองแจไม่ค่อยอยู่หรอกครับ เขามักจะค้างที่คณะเสมอเพราะงานกิจกรรมเยอะไปหมด


ผมกับพี่มาร์คเดินออกมาซื้อขนมที่เซเว่นหน้าหอจริงๆอย่างที่พูด หากแต่การเดินออกมาของเราไม่ได้จบแค่นั้น แถวหอไม่ได้เปลี่ยวมากมายเนื่องจากยังอยู่ใกล้รั้วมหาลัยมาก ยังคงมีร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ยี่สิบสี่ชั่วโมงเปิดอยู่ และคาเฟ่บางที่ก็ยังไม่ปิด


พี่มาร์ครู้ว่าผมชอบเดินเล่น
ผมก็รู้ว่าเขาชอบเดินเล่นเช่นกัน


"ชิมของแบมหน่อยดิ"

คนข้างกายเอ่ยพร้อมเอี้ยวตัวมาใกล้โดยมีเป้าหมายคือไอศครีมแท่งรสโปรดของผมซึ่งเหลือไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ เออคนเราจะมาชิมอะไรตอนนี้ที่จะละลายหมดแท่งแล้ว ตลกแปลกๆ


"กินของตัวเองไปดิ ของแบมจะหมดแล้ว"

ผมเบี่ยงตัวหลบแต่ร่างสูงก็ยังขยับตามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมือหนาสามารถคว้าเข้าที่มือของผมก่อนจะออกแรงดึงให้แท่งไอศครีมไปจ่อที่ปากของเขา


พี่มาร์คหัวเราะเมื่อแกล้งผมสำเร็จ เพราะผมเป็นคนค่อนข้างหวงของพอสมควรโดยเฉพาะของกิน
เขาจับมือผมแกว่งไปแกว่งมาเหมือนจะง้อให้ผมหายงอน มันดูเป็นอะไรที่ปัญญาอ่อนสิ้นดีแต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการกระทำเด็กๆแบบนี้ก็ทำให้ผมยกโทษให้เขาได้บ่อยครั้ง


จนพี่มาร์คย้ายออกจากหอไปเพราะเรียนจบแล้ว
จนผมขนข้าวของออกเพราะได้รับปริญญาบัตร ความสัมพันธ์ของเราก็ยังไม่เปลี่ยนไป


มันเหมือนอะไรที่รู้ว่าจะไม่แปรผัน
บางอย่างที่รู้ว่าจะไม่จากไป


แต่มีสิ่งหนึ่งที่พี่มาร์คไม่รู้
ผมน่ะหวงแหนเวลายิ่งกว่าไอศครีมแท่งนั้นเสียอีก



*


ผมหลับตาลง
แม้ดวงตาจะปิดสนิทแต่ผมก็มีท้องฟ้าใสและน้ำสีครามเป็นของตัวเอง
ผมมี 'เวลา' เป็นของตัวเอง
มีความทรงจำเป็นของตัวเอง
ผมมีเขาอยู่กับผม เขาซึ่งไม่เคยจากไปไหน


แม้นั่นจะไม่ใช่โลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม




"มาร์คๆ มาดูนี่ดิๆ"

มือเล็กกวักเรียกให้อีกฝ่ายซึ่งเดินออกไปห่างกลับเข้ามาใกล้ตัว ผมพยายามอยู่ให้นิ่งที่สุดเพื่อจะไม่ทำให้ผีเสื้อบนมือบินหนีไปก่อนที่พี่มาร์คจะเดินมา แต่แล้วเขาก็ทำเสียเรื่องจนได้เมื่อสองขายาววิ่งมาและกระโดดหยุดตรงหน้าผม


"แฮ่!"

ไม่พอยังแลบลิ้นเหมือนหมาอีก


"มาร์ค! ผีเสื้อบินหนีเลยเห็นมั้ย"

บ่นไปงั้นแหละ ผมรู้ดีว่ารอยยิ้มบนแก้มปากและตาของผมมันไม่จากหายไปไหนง่ายๆเวลาอยู่กับเขา

พี่มาร์คไม่หยุดหัวเราะเสียงสูงแหลมที่เจ้าตัวชอบทำเป็นประจำ แต่กลับหัวเราะไปด้วยทรุดตัวลงข้างผมไปด้วย ศีรษะทุยเอนเข้ามาอิงกับไหล่ของผมให้ผมได้รับแรงการสั่นสะเทือนของการขำไปอีกคน


"ฮ่าๆๆ มาร์คขอโทษ แต่หน้าแบมตลกอะ"

ผมฟาดเข้าที่ตักของพี่มาร์คอย่างไม่ออมแรง แต่ก็นั่นแหละครับ เขาไม่รู้สึกเจ็บหรอกเพราะเราเล่นกันแบบนี้เป็นธรรมดา พี่มันก็ยังคงอมยิ้มไปขำไปไม่เลิกราซะที

ผมหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าและกดถ่ายรูปเข่าของผมและพี่มาร์คที่แตะกัน


"ถ่ายไรอะ เข่าสวยหรอ"

คนพี่ว่าก่อนจะลดตัวลงให้หัวของเขาอยู่บนตั้งของผมพอดิบพอดี ตาเดียวปิดลงพร้อมรอยยิ้มบางๆบริเวณมุมปาก


"เรื่องของแบมหน่า ละนี่มาร์คจะนอนหรอ แบมเป็นเหน็บง่ายนะ"


"ไม่หลับหรอก ขอพักสายตาห้านาที แป๊บนึงนะ"

จากนั้นก็มีแต่เสียงนกและเสียงลมซึ่งพัดผ่านไปโดยที่ไม่ได้สนใจความมีอยู่ของมนุษย์อย่างเราเสียเท่าไหร่


ความเงียบทำให้เหมือนมีแค่เราสองคนอยู่ตรงนี้


ผมก้มลงมองรูปในโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง
จริงๆรูปมันไม่ได้สวยอะไร 
ผมเดาว่าผมแค่ชอบช่วงเวลาตอนนี้ก็เท่านั้น

สัมผัสจากเส้นผมของคนตรงหน้าคลอเคลียอยู่บนมือ
แดดอ่อนๆกำลังพอดีที่หาได้ยาก
ลมเอื่อยๆพัดเรื่อยๆอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย


ก็แค่อยากจะเก็บชิ้นส่วนที่จะทำให้ผมนึกถึงมันได้ตลอดเวลา 





แค่นั้นจริงๆ



*



ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งตอนที่ได้ยินเสียงดังน่ารำคาญข้างหู ทว่าตาที่ยังหรี่ปรือทำให้ไม่สามารถมองสิ่งต่างๆได้ชัดเจนนัก ตอนนี้เลยรู้สึกถึงแค่ความเมื่อยล้าจากแถวก้นกบและต้นคอ


"จะถึงแล้วนะขี้เซา" คนตัวโตกว่าเอ่ยเย้าพร้อมรอยยิ้ม มือก็ประคองโทรศัพท์ขึ้นถ่ายจนแทบจะติดใบหน้าง่วงๆของผม 

ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะความงัวเงีย เลยเลือกที่จะเอนหัวไปพิงซบตรงแผ่นอกของคนที่นั่งหันหน้ามาทางนี้แทน

"เมารถหรอ" เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาที่ไล้เส้นผมราวกับจะปลอบประโลมทำให้ผมยิ่งเกลือกกลั้วใบหน้าเข้ากับแผงอกนั้นกว่าเดิม

พี่มาร์คไม่ใช่คนตัวโต อันที่จริงเราก็ตัวพอๆกัน แต่น่าแปลกที่เมื่อซบลงไปแล้วกลับทำให้รู้สึกเสมือนถูกปกป้อง มันปลอดภัยและสบายใจมากเหลือเกิน

ผมรู้ดีว่าอกของพี่มาร์คกว้างพอสำหรับผม


"จะกินยาหรือเปล่า เวียนหัวมากไหม" 

เมื่อไม่ได้ยินการตอบกลับจากผมเสียงนั้นก็ดูจะกังวลขึ้นมานิดหน่อย ผมคิดว่าเขาคงจะวางโทรศัพท์ที่ยกขึ้นเพื่อถ่ายรูปลงแล้วเปลี่ยนไปค้นกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของเจ้าตัวแทน เสียงกุกกักที่ดังข้างๆบอกกับผมแบบนั้น

"เปล่า แค่ง่วง" ในที่สุดผมก็ตัดสินใจผละออกมานั่งตัวตรง ลืมตามองข้างทางที่เต็มไปด้วยสีของธรรมชาติ พยายามทำตัวให้ตื่นก่อนที่พี่มาร์คจะนึกไปว่าผมเมารถจริงๆแล้วยัดยาเม็ดสีเหลืองที่เจ้าตัวเตรียมมาใส่ปากผม

อ่า การเดินทางด้วยรถไฟนี่นานดีจังเลยน้า

ผมอ้าปากหาวพร้อมกับบิดขี้เกียจไปอีกสองสามทีด้วยความเมื่อยขบ นั่งซบไหล่พี่มาร์คหลับมาตลอดทางมันก็โรแมนติกดีอยู่หรอกถ้าไม่ติดว่าทำแล้วปวดตัวชะมัดยาด พวกนางเอกในละครไม่เห็นบอกไว้บ้างเลย

แต่ช่างเถอะ ถ้าเทียบกับความรู้สึกดีๆที่ได้รับกลับมาผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร




"ไหวไหมเนี่ยยยยย" 

ผมก้าวถอยหลังไปแล้วแนบดวงตามองผ่านกล้องตัวโปรด จากนั้นก็กดชัตเตอร์เก็บภาพคนที่สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่พร้อมเหงื่อเม็ดเล็กที่เกาะอยู่ตามใบหน้าและลำคอ บางส่วนนั้นถูกเสื้อสีเข้มดูดซับไว้จนเห็นรอยชื้น ฉากหลังเป็นชานชาลาที่มองเห็นชื่อสถานีติดมานิดหน่อย

คนแก่กว่าหันมามองแล้วทำหน้าบูดใส่ พอเห็นว่าผมยิ่งหัวเราะใส่ก็เลยหยิบกล้องที่ห้อยไว้ขึ้นมาถ่ายผมบ้าง 


"ถ่ายหล่อๆนะ" 

ผมยืนนิ่งไม่หลบขณะเก็กท่าแบบที่อีกฝ่ายเคยบอกว่าทำแล้วตลกพลางยิ้มแฉ่งให้กล้อง 
เอ ไม่สิ ยิ้มให้พี่มาร์คนั่นแหละ 

"ถ้าถ่ายไม่หล่อแบมจะโกรธ"

คราวนี้พี่มาร์คเป็นฝ่ายหัวเราะออกมาบ้าง แถมยังลดกล้องที่ถือลงอีกต่างหาก


"ยากแฮะ ยอมให้โกรธแล้วค่อยง้อง่ายกว่าเยอะเลย" 


"มาร์ค!"




*




"รับอะไรดีคะ" 

พนักงานต้อนรับส่งยิ้มพร้อมกับยกมือไหว้ ทำเอายกมือรับแทบไม่ทัน 

กวาดตามองเมนูอาหารแล้วก็เผลอถอนใจกับราคาอาหารที่นับวันจะสูงขึ้นทุกที 
ร่างบางอ่านมันอยู่นาน สุดท้ายก็เลือกเมนูเดิมๆที่สั่งในทุกครั้งที่มาอย่างข้าวผัดปู ต้มยำกุ้งและปลาหมึกผัดไข่เค็ม น้ำปั่นอีกสองแก้ว

ระหว่างนั่งรอผมมองไปรอบๆร้าน จากตรงนี้สามารถเห็นน้ำทะเลใสแจ๋วสีฟ้าอมเขียวได้อย่างชัดเจน
สมกับที่เขียนไว้ว่าเป็นร้านที่มองเห็นวิวได้สวยที่สุด


"ทำไมวันนี้สั่งน้อยจัง"

เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมดวงตาเรียวซึ่งพลันสบกับผม ผมยิ้มน้อยๆ โบกมือไปมาเป็นเชิงไม่มีอะไร


"แหม แบมไม่ได้กินเยอะขนาดนั้นซักหน่อย มาร์คเว่อร์ตลอดอะ"

ยู่ปากพอเป็นพิธีแล้วก็เสมองออกไปยังวิวแสนสวยตรงหน้าอีกครั้ง

ผมชอบมองน้ำสีฟ้าอมเขียวซึ่งบรรจบกับฟ้าสีครามที่เส้นตรงยังปลายขอบฟ้าตรงนั้น ผมคิดว่ามองโดยไม่คิดอะไรได้ คิดว่าทุกครั้งที่มองจะสมองโล่งได้


แต่ครั้งนี้ผมกลับมีแต่ความคิดในหัว
แค่คิดว่าไม่อยากให้ถึงวันที่ไปยังเส้นสุดขอบฟ้านั่นเลย


ปล่อยให้ลมเหนอะหนะของทะเลหอบไอเค็มปะทะหน้าได้ซักพัก พนักงานคนเดิมก็เอาน้ำมะพร้าวปั่นและน้ำแตงโมปั่นอย่างละแก้วมาวางเสิร์ฟไว้แล้วเดินออกไป

ผมชอบน้ำมะพร้าว 
ส่วนพี่มาร์คชอบน้ำแตงโม


"อันนั้นอร่อยไหมอะ" ชะโงกหน้าไปหาเจ้าของน้ำปั่นสีแดงแล้วก็ถามไปงั้นพอเป็นพิธี อันที่จริงมันแปลว่าอยากชิมมากกว่า

ร่างสูงนั่นก็เหมือนจะรู้ดีเลยถือแก้วขึ้นพลางจับหลอดไว้ ป้อนให้ผมใช้ปากดูดชิมน้ำหวานที่อยู่ในแก้ว

"เฮ้ยอันนี้อร่อย"

"ไหนว่าน้ำมะพร้าวอร่อยสุด" เจ้าตัวเอ่ยแซว ก่อนจะดึงแก้วกลับไปกิน ทำท่าทางอร่อยนักหนายั่วโมโห

"น้ำมะพร้าวอร่อยสุด! แต่แตงโมก็อร่อยเหมือนกันนี่"

"จะกินสองอย่างเลยหรอ ตะกละจนแก้มยานถึงพื้นแล้ว" ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือมาดึงแก้มผมอีกต่างหาก

"ก็กินของมาร์คด้วยไง แค่นี้ก็ได้กินทั้งสองอย่างแล้ว"

"ไม่ให้"

"อ้าว!" 

เห็นผมขึ้นเสียงใส่พี่มาร์คก็ยิ้มร่า ชอบแหย่ตลอดแหละครับคนนี้ 

ผมเบ้ปาก เชิดหน้าใส่จนคางแทบจะติดเพดานเหมือนพวกนางร้ายในละคร

"โอ๋ๆ อย่างอนนะ" คนแก่กว่าพยายามเอาใจด้วยการเอาหลอดน้ำแตงโมมาจ่อถึงปาก ผมก็ขี้เกียจจะเล่นตัวเลยดูดไปเต็มแรง ผลคือเย็นจี๊ดไปถึงสมอง

ไอ้พี่มาร์คหัวเราะจนน้ำตาเล็ด เลยถูกผมฟาดไม่ยั้งทั้งที่มืออีกข้างก็ยังกุมขมับแน่น โอ๊ยปวดหัว

"อย่าตายนะ แข็งใจไว้" 
พูดไปก็หัวเราะไปด้วย ไม่ได้มีความเห็นใจให้กันซักนิด

"บ้าหรอ ไม่ตายหรอก แบมจะอยู่แย่งน้ำแตงโมมาร์คกินไปจนกว่าจะอายุครบร้อยปีเลย!"

"ให้มันจริง อย่าทิ้งเค้านะเตง" เวลาคนเสียงต่ำๆดัดเสียงเล็กเสียงน้อยนี่โคตรตลกเลยครับ อดที่จะให้รางวัลเป็นฝ่ามืองามๆซักทีสองทีไม่ได้

"เตงบ้าไร!"

พี่มาร์คหัวเราะออกมาอีกครั้ง อยู่กับผมแล้วขำตลอดแหละ หัวเราะตลอด กรามจะค้างเข้าซักวัน

"เอาเป็นว่ายังไงก็ห้ามเลิกกัน คบไปเรื่อยๆจนแบมอายุร้อยปีเลยดีไหม ไม่ใช่อะไรนะ แค่สงสาร กลัวใครบางคนไม่ได้กินน้ำแตงโม"

ฝ่ายนั้นพูดหน้าตาเฉยก่อนจะเอานิ้วก้อยใหญ่ๆมาล็อกนิ้วก้อยผม ชิงลงมือแบบที่ยังไม่ทันตั้งตัว

คนแก่กว่าส่งยิ้มให้

"สัญญากันแล้วนะ"


ริมฝีปากอิ่มวาดรอยยิ้มกว้างขณะทอดสายตามองแก้วน้ำทั้งสองอันที่วางอยู่เคียงกัน
ของที่ผมชอบ ของที่พี่มาร์คชอบ

ของที่เราชอบ


เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกอยากจะเชื่อในคำมั่นสัญญา





ท้องทะเลยังคงสวยงามเสมอ
ถึงแม้จะมีคนบอกว่าถ้าเทียบกับปีที่แล้วน้ำสีเขียวอมฟ้าใสกว่านี้หรือหาดทรายขาวละเอียดจะสะอาดกว่านี้ก็ตาม 
ผมไม่สนเรื่องแบบนั้นหรอก เพราะสำหรับผมแล้วมันก็ยังคงงดงามเหมือนดังที่เคยเป็น


สิ่งที่ผมชอบมากจนเรียกได้ว่าเป็นความหลงใหลอย่างหนึ่งของทะเลคือสีฟ้าครามกระจ่างที่ตัดกับสีของอมเขียวของผืนน้ำ 
ผมสามารถมองมันได้ทั้งวันโดยไม่รู้สึกเบื่อเลยด้วยซ้ำ 

ความรู้สึกเย็นสดชื่นจากเกลียวคลื่นสีขาวที่กระทบข้อเท้ารวมถึงลมแรงที่ปะทะตัวนั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบรองลงมา


แต่สิ่งที่ผมรักที่สุดคือเจ้าของรอยเท้าใหญ่ๆที่ประทับไว้บนผืนทราย ข้างรอยเท้าที่เล็กกว่าของผม



His presence is like a tattoo
It hurts to get one
Even more painful to remove
It is something
Which is meant to last



ผมรักเวลาที่เราอยู่เคียงข้างกัน




Wednesday 21 October 2015

#มบรถไฟ 00 [intro]


Intro



ผมไม่รู้ว่าคุณนิยามความสัมพันธ์แบบนี้ว่าอะไร
สำหรับคุณมันอาจจะไม่ใช่ความรัก
ไม่เชิงความผูกพัน

แต่สำหรับผมมันแทบจะเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มี


Because we always had it
That special moment
We lived through it together

Because he was so special
We become so special

And I'm sure this won't ever go away
We can never be erased


เขาไม่ได้เป็นโลกทั้งใบ ไม่ได้เป็นเหมือนอากาศ
แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนขาดเขาไม่ได้
ใช่ ผมอยู่ได้ แต่อยู่ยังไงแบบไหนคือคำถาม


Although life will push us to whatever point
There's a stage where no other relationships will be able to beat this specific one.


ความทรงจำมากมายเหล่านี้ ควรต้องจัดการกับมันยังไงถ้าวันหนึ่งวันใดเราบังเอิญต้องจากกัน
กลิ่น เสียง รส สถานที่ สิ่งของ และอีกมากมายที่ความทรงจำและความรู้สึกถูกผูกไว้กับหลายอย่างรอบตัว มัดไว้หนาแน่นเป็นเงื่อนตายจนไม่สามารถแกะออกได้


He's like my past perfect, present perfect, and future perfect if that shall exist.
He activates my past, extends to my present and would always continue to my future. 

It was definite. 

Though I knew we would be nothing but finite,
I also learned our 'us' would not be less than always and forever - even if forever doesn't last. 


บางครั้งเราอาจจะลืมไปว่าการมีอยู่เป็นยังไง
อาจจะพลั้งวางใจว่าพรุ่งนี้จะมาถึง

ทั้งๆที่ 'พรุ่งนี้' อาจจะไม่เคยมีจริงก็ตาม